รีวิว OVERDRIVE หนังที่อยากเป็น FAST จนเนื้อตัวสั่น

รีวิว OVERDRIVE หนังที่อยากเป็น FAST จนเนื้อตัวสั่น

รีวิว OVERDRIVE หนังที่อยากเป็น FAST จนเนื้อตัวสั่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ในยุคสมัยหนัง “รถซิ่ง” ตกอยู่ภายใต้เงื้อมเงาของแฟรนชายส์หนังอย่าง Fast and the Furious ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ว่าด้วยรถสปอร์ตสวยๆที่มาประชันความเร็วกันบนท้องถนน หนังจารกรรมที่ใช้รถเป็นพาหนะ หรือกระทั่งเรื่องราวระหว่างตำรวจกับมาเฟียที่มีเรื่องของ “รถ” เป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่อง มักหนีไม่พ้นฉากต่างๆที่เราเคยเห็นมาแล้วในหนังทั้ง 8 ภาค ซึ่งนับวันแฟรนชายส์ดังกล่าวก็พยายามหาวิธีการนำเสนอให้ฉีกแนวของตัวเองไปเรื่อยๆ จนถ้าหากหนังภาคที่ 9 บรรดารถซิ่งของวิน ดีเซลจะโผล่ไปวิ่งอยู่บนดวงจันทร์ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ

เหตุผลที่ได้เกริ่นไปทำให้หนังจารกรรมรถอย่าง OVERDRIVE ไม่เหลือความแปลกใหม่อีกต่อไป มิหนำซ้ำพระเอกหน้าหล่อของเรื่องยังเป็นผลผลิตจาก Furious8 ด้วยซ้ำไปกับดาราหนุ่มอย่างสก็อตต์ อีสต์วู้ดที่มารับบทแอนดรูว์ ฟอสเตอร์ พี่ชายของการ์เรตต์ ฟอสเตอร์ สองพี่น้องที่มีความเก่งกาจในเรื่องการจารกรรมรถสปอร์ตที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากบรรดามหาเศรษฐีในประเทศแถบยุโรป

 

 

เหตุการณ์ในหนังไม่มีอะไรเลย นอกจากสองพี่น้องหน้าหล่อเดินทางไปก่ออาชญากรรมทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส แต่กลายเป็นว่ารถที่ทั้งสองพยายามขโมยบนถนนนั้นดันเป็นของมาเฟียขาใหญ่ ทำให้ทั้งสองถูกจาโคโม โมริแอร์ (ไซมอน อับคาเรียน) จับตัวไป ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำให้แอนดรูวส์ยื่นข้อเสนอจากการโดนฆ่าตายด้วยการไป โจรกรรมรถเฟอร์รารี 250 GTO ปี 1962 ของ แม็กซ์ เคลมป์ (เคลเมนส์ ชิค) มาเฟียคู่ปรับของโมริแอร์ มาให้

หนังเดินตามสูตร Fast เทียบทุกกระเบียดนิ้ว ด้วยฉากเปิดเรื่องวินาศสันตะโรในการจารกรรมรถ บูกัตติ 1937 ซึ่งเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบในการจารกรรมรถของแอนดรูวส์แล้ว เราก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าเขามีชีวิตรอดครบ 32 มาได้อย่างไรจนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากเราใช้เกณฑ์ของความเป็นมนุษย์มาพิจารณา หรือเราต้องมองในอีกมุมว่าบางทีเขาอาจจะได้รับพลังพิเศษแบบเดียวกับที่บรรดาตัวละครในแฟรนชายส์ FAST พึงมี นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจจะมีรูปกายภายนอกเป็นมนุษย์ แต่ความจริงแล้วพวกเขาอึด ถึก และตายยาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่บรรดาฉากลุ้นระทึก หลายฉากจะไม่ได้ทำให้พวกเขากระเทือนแม้แต่ปลายขี้เล็บ

 

 

ปัญหาที่หนักข้อยิ่งกว่าความสมจริงของตัวละคร คือบทภาพยนตร์ที่อ่อนปวกเปียกจนไม่น่าเชื่อว่า บางครั้งตัวละครมาเฟียก็ดู “โง่” เกินกว่าจะเป็นเจ้าพ่อ หรือกระทั่ง “ตำรวจ” ก็ดูเป็นตัวละครเฟคๆ ที่ท้ายที่สุดหนังก็เลือกจะเขียนบทแบบมักง่ายและทำให้ทุกอย่างในหนัง “ง่าย” ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นบทสรุป หรือกระทั่งการที่หนังวางให้ตัวเอกเป็นถึงอาชญากรชื่อดัง แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวพวกเขาได้ ทั้งที่วีรกรรมวินาศสันตะโรมหากาฬของพวกเขานั้น สมควรจะทำให้ทั้งสอง (และเดอะแกงค์) โดนจับตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำไป

โชคยังดีที่ผู้กำกับอย่างแอนโตนิโอ เนเกรท ยังมีความสามารถในการกำกับฉากแอ็คชั่น หรือฉากไล่ล่ารถออกมาได้สนุก น่าตื่นเต้นไม่น้อย แต่เมื่อไหร่ที่หนังพยายามจะเป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างก็พังพินาศทันที Overdrive จึงกลายเป็นแค่เวอร์ชั่นวานาบีของ The Fast ก็เท่านั้น

 

 

 

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ รีวิว OVERDRIVE หนังที่อยากเป็น FAST จนเนื้อตัวสั่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook