เหตุผลสำคัญทำไมคุณไม่ควรพลาด DUNKRIK

เหตุผลสำคัญทำไมคุณไม่ควรพลาด DUNKRIK

เหตุผลสำคัญทำไมคุณไม่ควรพลาด DUNKRIK
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

DUNKRIK คือภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ ดัดแปลงมาจากเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารอังกฤษนับหมื่นกำลังรอความหวังที่จะได้กลับบ้าน แต่หนทางรอดคือการรอคอยเรือมารับ และการโจมตีทางอากาศที่อาจจะคร่าชีวิตพวกเขาได้ทุกเมื่อ ผลงานแอ็คชั่นระทึกขวัญของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน และนี่คือเรื่องราวที่คุณควรรู้ก่อนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ 

 

 

 

นี่คือหนังสงครามที่นำมาจากเหตุการณ์จริง

          เมื่อพูดถึงหนังสงคราม หลายครั้งที่ผู้สร้างหยิบยกพล็อตเรื่องมาจากประวัติศาสตร์จริงของมนุษย์ ซึ่งนำมาจากเหตุการณ์สำคัญไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 รวมไปถึงยุคสงครามเย็น สงครามเวียดนามเป็นต้น และนี่เป็นอีกครั้งที่เศษเสี้ยวหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 จะถูกหยิบเอามานำเสนอบนจอภาพยนตร์กับเรื่องราวของปาฏิหาริย์แห่ง “ดันเคิร์ก”

 

                                

ประวัติศาสตร์ที่พลิกเกม

            เรื่องราวของยุทธการดันเคิร์ก คือการระดมพลกลับครั้งสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตรอันประกอบไปด้วยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ซึ่งพวกเขาถูกโจมตีอย่างหนักจากกองทัพเยอรมัน ถ้าหากพวกเขายังคงดื้อรั้นที่จะสู้ต่อไปอาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ (เพราะเสียชีวิต หรือโดนจับเป็นเชลยสงคราม จนไม่เหลือกำลังพลต่อสู้) หนทางของยุทธการนี้คือการให้ทหารรวมตัวกันที่ชายฝั่งทะเลของดันเคิร์ก ประเทศฝรั่งเศสเพื่อรอการอพยพทางเรือเพื่อกลับไปยังประเทศอังกฤษ

            ปฏิบัติการครั้งสำคัญในการอพยพครั้งนี้มีชื่อว่ายุทธการไดนาโม ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 1940 ในการเรียกระดมเรือที่มีความสามารถในการบรรทุกทหารได้ลำละ 1,000 คนต่อลำขึ้นไป เพื่อสามารถบรรทุกทหารกลับมาได้ แต่เวลาผ่านล่วงเลยไปถึง 5 วัน กองกำลังอังกฤษสามารถนำทหารกลับมาได้ 120,000 คน ซึ่งระยะเวลาในการขนส่งทหารยังล่าช้าจนเกินไป ทางการจึงขอความข่วยเหลือจากประชาชนให้นำเรือเล็กที่ตนเองมี เข้าร่วมกับทางการในการไปช่วยขนถ่ายทหารกลับบ้านเกิด ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนเป็นอย่างดี

            ทว่าสถานการณ์ทุกอย่างไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อทางฝั่งเยอรมันยังคงโจมตีอย่างหนักทั้งทางบกและทางองกาศ เป็นผลทำให้เรือหลายลำจมลง เวลาผ่านล่วงเลยไปถึงวันที่ 29 พฤษภาคม ฮิตเลอร์เลือกจะยุติการโจมตีด้วยยานเกราะและอาวุธหนัก ทำให้การอพยพครั้งนี้ของอังกฤษผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลายฝ่ายคาดว่าเหตุผลที่ฮิตเลอร์ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะต้องการให้อังกฤษยอมเจรจาสงบศึกและเข้าร่วมกับนาซีเยอรมัน ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของทหารใกล้ชิดของฮิตเลอร์

            การตัดสินใจครั้งนี้ของฮิตเลอร์ คือความผิดพลาดของฝ่ายนาซี เพราะนี่คือการจัดการขั้นไม่เด็ดขาด นำไปสู่ความพ่ายแพ้สงครามของฝ่ายนาซีในเวลาต่อมา

 

 

นี่ไม่ใช่หนังดราม่าในสนามรบแต่เป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ

        เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสงครามแล้ว ภาพในหัวของคนดูมักจะว่าด้วยฉากปะทะกันระหว่างทหาร พล็อตดราม่ายามที่มีเพื่อนทหารเสียชีวิต แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจของตัวละครอะไรประมาณนี้ แต่ผู้กำกับอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน เลือกจะหลีกเลี่ยงวิธีการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ แต่เลือกจะนำเสนอเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วยการดัดแปลงให้มันกลายเป็นหนังแอ็คชั่นเขย่าขวัญผ่านมุมมองของตัวละครภายใต้ 3 เหตุการณ์ครั้งนี้ โดยแต่ละฝ่ายต้องแข่นขันกับเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทุกที

 

 

วิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา

          ขึ้นชื่อว่าผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนแล้ว วิธีการเล่าภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีลูกเล่นที่น่าสนใจ เมื่อหนังถูกเล่าผ่านมุมมองของตัวละครหลายเหตุการณ์อันประกอบไปด้วยชายหาดที่ดันเคิร์ก เรือในท้องทะเล และบนเครื่องบิน ซึ่งตรงจุดนี้เองคือความสลับซับซ้อนของเหตุการณ์ที่เนื้อหาแต่ละช่วงนั้นจะอยู่ในขอบเขตเวลาที่แตกต่างกัน โดยคริสโตเฟอร์ผู้กำกับของเรื่องให้เหตุผลว่า เพราะในหนังคนบนชายหาดอยู่ตรงนั้นนานกว่าค่อนสัปดาห์ ขณะที่เรือแล่นข้ามช่องแคบในช่วงเวลานานหนึ่งวัน และเหตุการณ์บนเครื่องบินสปิตไฟร์นั้นกินเวลาหนึ่งชั่วโมง เนื้อหาเรื่องราวแต่ละส่วนซึ่งก็คือหนึ่งสัปดาห์บนบก หนึ่งวันในทะเล และหนึ่งชั่วโมงกลางอากาศนั้นมีลักษณะช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อประสานทุกส่วนเข้าด้วยกันผ่านการตัดต่อ เขาจึงต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง และเพื่อประสานเรื่องราวเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน ยังเป็นการสะท้อนให้คนดูเห็นอีกด้วยว่ายังมีเรื่องราวในส่วนอื่นๆที่คนดูยังไม่ได้เห็นอีกมากมายให้เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เพราะชีวิตจริงเราไม่มีทางเข้าใจประสบการณ์ของผู้คนในสงครามครั้งนี้ผ่านหนังแค่เพียงเรื่องเดียว

 

 

นี่คือหนังที่ออกแบบมาเพื่อจอ IMAX

        คริสโตเฟอร์ โนแลนคือผู้กำกับคนแรกที่เลือกใช้กล้องถ่ายของ IMAX ในการถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ใน The Dark Knight จากนั้นเขาก็ใช้กล้อง IMAX ถ่ายทำหนังเรื่องอื่นๆต่อมา แต่สำหรับ “Dunkirk” เขาได้ขยายการใช้งานกล้องแบบ large format โดยถ่ายทำหนังทั้งเรื่องด้วยฟิล์ม IMAX ผสมกับฟิล์ม 65 มม. ซึ่งเป็นวิธีการที่เขายืนยันว่า “ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ ‘Dunkirk’ เป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และต้องอาศัยผืนผ้าใบขนาดมหึมา และเหตุผลดังกล่าวเสมือนทำให้คนดูรู้สึกว่าจอภาพยนตร์ได้หายไปและคนดูจะได้รับความละเอียดอ่อนของเรื่องราว อีกทั้งสร้างสถานการณ์ที่ดึงดูดผู้ชมมากยิ่งขึ้น

            ยิ่งไปกว่านั้นตัวผู้กำกับอย่างโนแลน ยังชอบการถ่ายทำฉากแอ็คชั่นจากในกล้อง โดยหลีกเลี่ยงเอฟเฟ็กต์ดิจิทัลและซีจีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเลือกจะทำงานกับบคนจริงๆมากกว่าเพื่อให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่สมจริงมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้สึกนั้นให้กับทีมงานและนักแสดงด้วยเช่นกัน

 

 

การคัดเลือกนักแสดงที่เน้นความสมจริง

        ความตั้งใจของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่จะนำเสนอความสมจริงได้แผ่ขยายออกไปสู่การเลือกนักแสดงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนหนุ่มที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาหลีกเลี่ยงที่จะใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียงที่อายุมากกว่าตัวละครจริงๆ แล้วเลือกจะมาลดอายุของพวกเขาในหนัง ดังนั้นโนแลนจึงเลือกนักแสดงวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเฟียน ไวท์เฮดในบททอมมี่ แอนูริน บาร์นาร์ดในบบทกิ๊บสัน แฮร์รี่ สไตล์จากวง One Direction ในบทอเล็กซ์

 

 

            สำหรับตัวแสดงผู้ใหญ่มีตัวละครสำคัญอาทิ ผู้การโบลตันซึ่งรับบทโดยเคนเน็ธ บรานาห์ ผู้รับผิดชอบการจัดการเรือที่เข้ามาเทียบสันเขื่อนกันคลื่น ณ จุดนั้นเรือสามารถเข้ามาจอด รับทหาร แล้วแล่นออกไป มิสเตอร์ดอว์สัน เจ้าของเรือ “มูนสโตน” จากอังกฤษ รับบทโดยมาร์ค ไรแลนซ์ และลูกชายวัย 19 ปีรับบทโดยทอม กลินน์-คาร์นีย์ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีซิลเลียน เมอร์ฟีย์รับบทเป็นผู้รอดชีวิตจากเรืออัปปาง ทอม ฮาร์ดี้ รับบทเป็นพลทหารเครื่องบินสปิตไฟร์ของกองทัพอากาศอังกฤษ

 

 

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ เหตุผลสำคัญทำไมคุณไม่ควรพลาด DUNKRIK

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook