วิจารณ์หนัง GET OUT ผิวสีคือความอินเทรนด์

บทความนี้มีการเปิดเผยจุดสำคัญของภาพยนตร์ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ชม หากไม่ต้องการให้อรรถรสลดลงกรุณาข้ามไปก่อน

Get Out เป็นหนังสยองขวัญ ระทึกขวัญที่ว่าด้วยตัวละครที่บังเอิญอยู่ผิดที่ผิดทาง จนต้อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สุดสะพรึง โดยตัวหนังโฟกัสไปที่คริส (แดเนียล คาลูยา) หนุ่มผิวสี นักวาดภาพศิลปะกับโรสแฟนสาวของเขา (อัลลิสัน วิลเลียมส์) ทั้งสองได้พัฒนาความสัมพันธ์ถึงจุดที่ไปเยี่ยมบ้านของพ่อแม่แฟน เธอจึงชักชวนเขาไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่บ้านของพ่อแม่เธอ คือมิสซี (แคเธอรีน คีเนอร์) และดีน (แบรดลีย์ วิทฟอร์ด) ทางตอนเหนือของรัฐ ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูปกติดี แต่แล้วเขากลับพบว่าคนใช้ผิวสีในบ้านหลังนี้มีพฤติกรรมแปลกประหลาด อาทิออกมาวิ่งยามค่ำคืน หรือการเดินเล่นในบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท!

ความผิดปกติดังกล่าวเริ่มทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นเมื่อบ้านแห่งนี้จัดงานเลี้ยง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ดีอเมริกาสูงอายุ บางคู่ก็เดินควงคู่มากับชายผิวสีที่ตัวคริสเองเหมือนจะเคยรู้จักมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ยิ่งคริสพยายามค้นหาความจริงมากแค่ไหน เขายิ่งได้พบกับความระทึกขวัญสุดขั้ว

ตัวหนัง GET OUT อาจจะเดินเรื่องราวตามสูตรสำเร็จของหนังตัวละครผิดที่ผิดทางในแบบที่แฟนหนังสยองขวัญสามารถเดาทางของเรื่องได้ไม่ยากเย็นนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครต่อ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าเบื่อหรือซ้ำซาก เมื่อหนังเลือกจะหยิบประเด็น “คนผิวสี” เอามาบิดเป็นประเด็นที่ว่า คนผิวขาวในยุคนี้นิยมคน “ผิวสี” จริงๆ หรือแท้ที่จริงพวกเขาก็มองประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นแค่เรื่องแฟชั่นที่แห่กันทำเป็นสนใจ แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็แค่มองมันแบบผิวเผินแล้วก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากคนผิวสี หรือพูดง่ายๆว่าการ “ขโมยร่าง” ของคนผิวสีแล้วถอดจิตใจของคนผิวขาวเข้าไปอยู่ในร่างนั้น คือการกดทับเรื่องชาติพันธุ์ของคนผิวขาวอยู่ดี

ยิ่งหนังดำเนินเรื่องไป เราจะยิ่งได้มองเห็นความปลอมเปลือกของผู้ดีอเมริกันที่ใช้ประโยชน์จากร่างกายคนผิวสี ด้วยการใช้เงิน “ซื้อ” ผลประโยชน์จากพวกเขา ไม่ต่างอะไรจากยุคที่คนขาวมองคนผิวสีเป็นทาสที่พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ แต่แทนที่ว่าในยุคนี้เงินจะซื้อชีวิตของพวกเค้า แต่หนังกลับไปไกลกว่านั้นคือการ “สิงร่าง” เอาร่างกายของพวกเขามาใช้ต่อชีวิตตัวเอง และเพื่อเสริมสร้างสถานะทางสังคมให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่การมีสีผิวดำคล้ำนั้นเป็นภาพลักษณ์ทางสังคมที่กำลังมาแรงในอเมริกา

หนังเรื่องนี้จึงเหมือนการตบหน้าคนผิวขาวที่เชื่อในเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ลับหลังพวกเขาก็ยังคงมองคนผิวสี เป็นแค่วัตถุที่เงินสามารถซื้อได้และเปลี่ยนแปลงพวกเขาไปในแบบที่ตนต้องการนั่นเอง

4.5 คะแนนจาก 5 คะแนน
@PRETTYPLASALID