"ฟ้า พูลวรลักษณ์" วิพากษ์จุดสิ้นสุด GTH ใครใส่หน้ากาก? ใครพยายามรปห. ยึดบริษัท?

"ฟ้า พูลวรลักษณ์" วิพากษ์จุดสิ้นสุด GTH ใครใส่หน้ากาก? ใครพยายามรปห. ยึดบริษัท?

"ฟ้า พูลวรลักษณ์" วิพากษ์จุดสิ้นสุด GTH ใครใส่หน้ากาก? ใครพยายามรปห. ยึดบริษัท?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความบทที่ ๑๐๐ ฉันขออนุญาตคุยเรื่อง GTH เพราะฉันต้องการบันทึกประวัติศาสตร์ ก่อนที่มันจะถูกลืม ไม่ให้การสร้างภาพมาบิดเบือนความจริง ในยุคสมัยที่ผู้คนถนัดในการสร้างภาพ มันคงยากลำบากไม่น้อย ที่จะเอาความจริงมาสู้กับการสร้างภาพ

ต้นกำเนิดของGTH เกิดจากการรวมตัวของสามบริษัท คือ แกรมมี่ ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ กับ หับโห้หิ้น ในสัดส่วนการลงทุน แกรมมี่ ๕๑% ไท ๓๐% และหับ ๑๙% พวกเขามีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างกัน

กล่าวคือ แกรมมี่ มีเงินและเพาเวอร์ แต่ในสมัยนั้น แกรมมี่ก็ทำหนังแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีทั้งเงินและเพาเวอร์ ก็ทำไม่ขึ้น

ส่วนไท เป็นบริษัทเล็ก มีเงินทุนน้อย แต่ก็มีชื่อเสียงที่สุด เพราะทำหนังประสบความสำเร็จมาหลายเรื่อง คุณวิสูตรมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างที่เก่งที่สุด และเก่งในการตลาด แต่กระนั้น เพราะการทำหนังไทย เป็นอะไรที่ทำยาก และเขาทำงานด้วยตัวคนเดียว ไม่กล้าลงทุนมาก แม้จะมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ค่อยมีเงิน

ส่วนหับ เป็นบริษัทเล็ก เงินน้อย ยังไม่มีชื่อเสียง แต่มีจุดแข็งคือมีผู้กำกับฯ หนุ่มไฟแรงหลายคนในสังกัด

การรวมตัวกันครั้งนั้นก็เป็นไปตามความสมัครใจ ต่างพอใจในสัดส่วนของตน ไม่มีการบังคับ ไม่มีการหลอกลวง และที่จริงก็ไม่รู้ว่า GTH จะไปรอดไหม ในสองสามปีแรกๆ ก็ขาดทุน และตั้งท่าจะไปไม่รอดเหมือนกัน แต่ค่อยๆ ดีขึ้น จนในหลายปีให้หลัง ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ยิ่งเพราะตลาดหนังไทยซบเซา ยิ่งทำยาก ค่ายนี้ยิ่งโดดเด่น

จนกลายเป็นสุดยอดในวงการ


พวกเขาปิดบริษัท เพราะหับถือหุ้นน้อยที่สุด แต่ทำงานมากที่สุด ในที่สุดก็สะสมความไม่พอใจ จนเกิดเรื่อง แต่เดิมทีก็ยังไม่ใช่เช่นนั้น แต่เดิมทียังมีทีมของไท ทีมของหับ แต่เหมือนเจอแรงโน้มถ่วง ยิ่งนานไป ทีมของไทก็หดเล็กลงจนหายไป เหลือแต่ทีมของหับ ที่ใหญ่ขึ้น จนครอบทั้งบริษัท

โดยแก่นของเรื่องก็คือ มันเกิดจากหับ ในที่สุดเขาคิดว่า GTH ที่จริงก็คือหับนั่นเอง เรียกได้ว่างานเกือบทั้งหมด เกิดจากหับ ดังนั้น ทำไมถึงได้ผลประโยชน์น้อยกว่าเพื่อน อย่างนี้ไม่ยุติธรรม พวกเขาจึงเดินเข้ามาหาไท แล้วขอซื้อหุ้นครึ่งหนึ่งของไท ในราคาพาร์ มันเป็นการยื่นคำขาด เหมือนจี้ด้วยปืน นี้คือการทำรัฐประหาร กระทำโดยกลุ่มคนที่คุมกำลังพล

Plan A ของหับ คือการซื้อหุ้นจากไทและแกรมมี่ เพื่อทำให้สัดส่วนของตัวกลายมาเป็นอันดับหนึ่ง นั่นคือการทำให้ GTH เป็นของหับ แต่พวกเขาไม่ยอม fair play

ที่จริงหากพวกเขาต้องการเพิ่มสัดส่วนของหุ้น ด้วยการซื้อในราคาที่ยุติธรรม ตามผลประกอบการ ก็ยังพอคุยกันได้ และมีความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะอย่างน้อยก็ทำงานด้วยกันมา ๑๑ ปี แต่นี่พวกเขาต้องการยึดอำนาจ การยื่นคำขาดอย่างนี้ เพราะพวกเขาไม่กลัวการปิดบริษัท เพราะเชื่อว่า พวกเขาจะเปิดใหม่ได้ เนื่องจากทีมงานทั้งหมด เป็นของหับ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อ

ฉันพอเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ว่าดังแล้วแยกวง หรือเมื่อประสบความสำเร็จติดๆ กันหลายครั้ง ก็เกิดความยโส

แต่ฉันรับไม่ได้กับความไม่เป็นสุภาพบุรุษ การไม่ fair play


๑๐

ตอนนั้นคุณวิสูตรทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยความใจอ่อนและโง่เขลา เขาคิดว่าเมื่อต้องปิดบริษัท เขาเสนอไอเดียให้ออกข่าวดังนี้ว่า ไทต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนหับยังไม่พร้อม อาจต้องรออีกหลายปี ส่วนแกรมมี่บอกว่ายังไงก็ได้ แล้วแต่พวกคุณตกลงกัน หากตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องปิดบริษัท นี้คือข่าวที่สังคมข้างนอกรับรู้

ฉันถามคุณวิสูตรว่าทำไมตัดสินใจอย่างนั้น เขาบอกว่าเป็นห่วงภาพลักษณ์ของแกรมมี่ แต่ทำไมไม่ห่วงตัวเอง นี้คือความ sentimental ของเขา เป็นความคนใจอ่อนแบบผู้หญิง ยิ่งมาบวกกับความอ่อนแอและโง่เขลา มันกลายเป็นสามความผิด

๑๑

หากคุณวิสูตรมีสติ เขาไม่ควรสร้างภาพ หลอกลวงประชาชน พวกเขาควรจะพูดความจริง แล้วให้ประชาชนตัดสิน หรือหากต้องการรักษาหน้ากันไว้ ก็เพียงแค่ประกาศว่า เราต้องการแยกทางกัน ด้วยเหตุผลส่วนตัว ที่ไม่สะดวกในการเปิดเผย เหมือนคู่ชีวิตที่ต้องการหย่ากัน แต่ไม่จำเป็นต้องบอกสาเหตุ เป็นการไปอย่างเงียบๆ และกลับมาใหม่อย่างเงียบๆ ฉันยังพอรับได้

แต่การสร้างข่าวไม่จริงนั้น มีผลร้ายกว่า และผิดนั้นมาจากฝ่ายไท ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ

๑๒

ภาพที่ออกมาคือ ไทเป็นคนโลภและโง่เขลา เพราะหากไทต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำไมเลือกทางที่ตัวเองหมดโอกาสเกือบสิ้นเชิง แทนที่จะรออีกหน่อย กลายเป็นรออีกนานเท่าไรไม่รู้ และกลับไปสร้างภาพให้หับเป็นพระเอก ผู้ประกาศว่ายังไม่อยากเข้า เพราะกลัวว่างานศิลป์ของตนจะด้อยค่าลง

ส่วนแกรมมี่ก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นกลาง ยังไงก็ได้ ซึ่งไม่จริงทั้งสิ้นทั้งปวง

เรื่องจริงคือหับไม่เป็นสุภาพบุรุษ หักหลังเพื่อน แต่ความโง่เขลาของคุณวิสูตรทำให้ภาพออกมาเป็นตรงกันข้าม


๑๓

ต่อให้คุณไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับธุรกิจก็ต้องสังเกตออกได้ว่าหากบริษัทหนึ่งต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯหุ้นส่วนบอกว่ายังไม่พร้อม ขอเวลาอีกหน่อย บริษัทแรกก็เลยบอกว่างั้นเรามาปิดบริษัท มันผิดเหตุผล ผิดสามัญสำนึกขนาดไหน เพราะหากทำเช่นนั้น บริษัทแรกก็ยิ่งหมดโอกาสเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จากการรอสามสี่ปี กลายเป็นรอหนึ่งร้อยปี หรือแม้เขาจะไปเปิดบริษัทใหม่ ก็ยากจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงอย่าง GTH ซึ่งมีผลงานมา ๑๑ ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ไม่มีคนสติดีที่ไหน จะแก้ปัญหาแบบนี้แน่

ดังนั้น ข่าวดังกล่าวจึงเป็นข่าวปลอม เป็นเพียงการสร้างภาพ หากเป็นพล็อตเรื่องหนัง ก็น่าพิศวงว่า ทำไมคิดพล็อตเรื่องได้ไม่น่าเชื่อปานนี้

๑๔

สื่อที่เป็นกลางหากอยากรู้ ก็เพียงไปสัมภาษณ์คนที่เคยทำงาน GTH ในอดีต คนที่ออกมาแล้ว และกลายเป็นอนุมูลอิสระ พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรจะโกหก พวกเขาจะรู้ดีว่าใครซื่อตรง ใครมีเล่ห์เหลี่ยม เราไม่อาจสัมภาษณ์คนที่กำลังทำงานอยู่ในบริษัท เพราะจะมีการเลือกข้าง นี้คือความจริงที่คนวงในล้วนตระหนักรู้ หรือหากไม่รู้ ก็ตรวจสอบได้ เพราะมันเป็นจริง ปัญหาคือคนในสังคม มีความเห็นอย่างไร มีจิตสำนึกในความถูกต้อง หรือจริยธรรมแบบไหน

๑๕

หากจากวันนี้ไป พวกเขาแยกทางกัน ต่างคนต่างไป เหมือนยุคแรก ก็ยังเป็นภาพที่สง่างามใช้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะหับมี plan B พวกเขาก็ไม่ฉายเดี่ยว พวกเขาจะกลับไปหุ้นกับแกรมมี่ใหม่ คราวนี้ ขจัดไทออกไปได้

ในความรู้สึกของพวกเขา เห็นว่าคุณวิสูตรเป็นเสือเฒ่าที่หมดเขี้ยวเล็บ หมดประโยชน์ อยู่ไปก็รังแต่จะเป็นเหลือบ เกาะกินส่วนแบ่งกำไร

๑๖

แกรมมี่เป็นพ่อค้า แม้เขาจะรู้ว่าหับเป็นฝ่ายหาเรื่อง แต่พ่อค้าจะคำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้า เขาคงไม่มาสนใจหลักจริยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรม แม้เขาจะรู้ว่า คนที่หักหลังเพื่อนได้ ก็ย่อมจะหักหลังเพื่อนได้อีก แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง วันนี้คุยเรื่องผลประโยชน์ตรงหน้า


๑๗

จุดหักเหสำคัญคือแม่นาค มันเป็นหนังที่ทำเงินมาช้านาน นับแต่อดีต แต่เหมือนมีอาถรรพ์ เหมือนมีคำสาป ที่ว่าแม้หนังแม่นาคมักจะทำเงินจริง มันเป็นตัวเปลี่ยนยุคของคำว่าหนังทำเงิน แต่คนทำมักหมดตัวในกาลต่อมา แต่ความเย้ายวนใจของเงิน ทำให้คนจำนวนมากก็ไม่กลัว เพราะมันไม่มีเหตุผล มีเพียงสถิติ มีเพียงข้อสังเกต เราอาจคิดไปเองก็ได้


๑๘

หับสะสมความไม่พอใจมานานแต่ยังไม่รุนแรง เพราะหนังก็ยังทำเงินไม่มาก และหากมีบางเรื่องขาดทุน แทรกสลับไปมา ยิ่งไม่เกิดเรื่อง เพราะเวลาขาดทุน ผู้ถือหุ้นน้อยก็เจ็บตัวน้อย ที่จริงคนทำงาน มีค่าจ้าง เช่น ผู้กำกับฯ ก็มีค่ากำกับฯ ผู้เขียนบทก็มีค่าเขียนบท ฯลฯ คนทำงานมากก็ได้มาก ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้ดีพอควร แต่พ่อมากทำเงินมหาศาลถึงพันล้าน มันเป็นความยิ่งใหญ่อลังการ เพราะบัดนี้ผลกำไรคือหลักร้อยล้าน เงินจำนวนร้อยล้าน ทำให้ดวงตาเปลี่ยนไป จิตใจก็เปลี่ยน

๑๙

ในวันที่พ่อมากทำเงินถึงพันล้าน ซึ่งหนังไทยไม่เคยทำได้ ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี แต่หากมีใครคนหนึ่ง ที่ผ่านโลกมามาก แต่งชุดดำ เขาเดินมาแสดงความเสียใจ บอกว่า พี่มากคือจุดจบของ GTH คงแปลกมาก เขาช่างเป็นคนขวางโลก แต่มองลึกลงไปจะเห็นความจริง

๒๐

หนังอย่างพี่มาก ทำให้หับนอนไม่หลับ ไม่ใช่กลัวผี แต่เพราะเสียดายเงิน ทำไมงานอย่างพี่มาก เป็นงานของหับ แต่ต้องมาแบ่งผลประโยชน์ให้ไท ที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย คุณวิสูตรมีความรอบรู้เกี่ยวกับหนังจริง แต่ทำงานกันมา ๑๑ ปี ทีมงานของหับคิดว่าพวกเขาก็เรียนรู้มาจนหมดแล้ว ศาสตร์นี้พวกเขาก็รู้ครบถ้วน และอาจเหนือกว่า ทำไมต้องแบ่งให้ด้วย

๒๑

ประหลาดยิ่งนัก GTH ทำกำไรติดกันหลายปี ตามกติกาของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทนั้นต้องมีผลประกอบการมีกำไรติดกันอย่างน้อยสามปี ซึ่งเท่ากับว่า GTH มีคุณสมบัติเข้าไปได้ และนำผลประโยชน์มหาศาลสู่สามหุ้นส่วน แต่เพราะความโลภ จึงปิดบริษัท

๒๒

เมื่อเปิดใหม่ เกิดความไม่แน่นอน หากชนะทั้งสามบริษัท ก็เป็นคุณประโยชน์กับวงการหนัง เพราะทำให้หนังไทยเกิดความหลากหลาย แต่หากแพ้หนึ่ง ชนะสอง หรือแพ้สอง ชนะหนึ่ง ก็น่าเศร้า เพราะถึงอย่างไร ก็สู้การไม่ปิดบริษัทไม่ได้ แต่หากแพ้หมดทั้งสามบริษัท

ก็น่าตกตะลึง ว่าความโลภทำไมทำให้คนเราหน้ามืดได้ถึงปานนี้


๒๓

นี้เป็นcase study สำหรับวิชา risk management เป็นตัวอย่างคลาสสิค ให้คนรุ่นหลังอย่าเอาเยี่ยงอย่าง คนภายนอก แม้แต่คนที่ไม่จำเป็นต้องฉลาดอะไรมาก ก็มองออกว่า บริษัทที่ผลประกอบการกำลังรุ่งขีดสุด กลับมาปิดบริษัท คือการทำร้ายตัวเอง เป็นความไร้เหตุผล ยังมีทางออกอีกมากมายให้เลือก

๒๔

ที่จริงทั้งสามบริษัทล้วนมีคนเก่งมีคนฉลาด มีคนมีไหวพริบ แต่ทำไมเกิดความมืดบอดได้ขนาดนี้

คำอธิบายหนึ่งเดียวที่ฉันพอนึกออกคือ พวกเขาถูกผ้าถุงนางนาคคลุมหัว ทำให้ตกอยู่ในความมืด

๒๕

ผลที่ออกมา อาจเป็นไปได้ว่าบริษัทใหม่ของหับไม่ประสบความสำเร็จ และไทที่กลับมาสร้างหนังใหม่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าวิญญาณแม่นาคเฮี้ยนมาก มืออันแสนยาวของเธอ ได้เอื้อมมาหยิบเงินคืน

๒๖

หรือบริษัทใหม่ของหับประสบความสำเร็จก็น่าสนใจยิ่งนัก แสดงว่าอาถรรพ์แม่นาคไม่เป็นความจริง และกฎแห่งกรรมก็ไม่ค่อยมีความหมาย แม้แต่หลักจริยธรรมก็ไม่สำคัญ กลายเป็นหลักเกณฑ์ของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ต้องกลัวฟ้ากลัวดิน ฉันว่าแปลกดี และน่าจับตายิ่งนัก

๒๗

หากคุณวิสูตรแพ้ ก็สรุปได้ว่า เขาคือนักกีฬาที่ขาดซ้อม และอายุมากแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎแห่งสังขาร ที่จริงไทเคยได้มาจากแม่นาคยุคก่อน สมัย นนทรีย์ นิมิบุตร กำกับฯ ตัวนนทรีย์ยังไปไม่รอด ฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเขา หลังหนังเรื่องปืนใหญ่โจรสลัด ที่เขาหมดตัว ต้องเอาบ้านไปจำนอง เงินกำไรที่ได้จากแม่นาคต้องคืนกลับไปหมด

ฉันยังแปลกใจว่าทำไมคุณวิสูตรรอด อาจเป็นเพราะเขามีภูมิต้านทานนางนาค แต่หากคราวนี้แพ้ แสดงว่าครั้งนั้น เขาเพียงฟลุก แต่หากเขาชนะอีก ก็แสดงว่าเขามีภูมิต้านทานนางนาคจริงๆ ซึ่งประหลาดยิ่งนัก และคนอะไรจะมีอึดปานนั้น แม้แต่ตัวฉันยังไม่อยากเชื่อเลย

๒๘

หนังเป็นสิ่งแปลก มันไม่มีกฎตายตัว ใครคิดว่ากินชัวร์ ก็คือหลงผิด เตรียมตัวตาย แม้ GTH จะรวมตัวเหมือนเดิม ก็ยังไม่มีหลักประกันใดว่าเรื่องต่อไปจะประสบความสำเร็จ หรือหากประสบความสำเร็จ ยังได้อีกกี่เรื่อง เราไม่รู้จริงๆ นี้เป็นความเร้นลับของหนัง

๒๙

ต่อนี้ไป ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญ เพราะชีวิตก็ต้องมีขึ้นมีลง มีแพ้มีชนะ แต่ขอให้สู้กับแบบเปิดหน้า อย่าใส่หน้ากากแอบแฝง อย่าสร้างภาพมากจนเกินไป จนกลายเป็นความอำมหิตเงียบ

๓๐

โดยส่วนตัวฉันเชื่อในจริยธรรม แม้มันจะดูเหมือนไม่มีค่า ส่วนทรัพย์สมบัตินั้น สำหรับฉัน ที่สุดมันคือธุลีดิน แต่แน่ละ ท้ายที่สุดนี้ เราต่างล้วนรู้ว่า เราอยู่ในโลกมายา คำถามคือโปรแกรมต่อไปคืออะไร มันคือวิญญาณแม่นาคคะนอง หรือสามแพร่งตอนใหม่ หรือการกลับมาใหม่ของ Rocky

ที่มา มติชนสุดสัปดาห์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook