วิจารณ์หนัง ผีห่าอโยธายา…ผีดิบไท้ไทย เครื่องเยอะ แต่ยังไม่กลมกล่อม

วิจารณ์หนัง ผีห่าอโยธายา…ผีดิบไท้ไทย เครื่องเยอะ แต่ยังไม่กลมกล่อม

วิจารณ์หนัง ผีห่าอโยธายา…ผีดิบไท้ไทย เครื่องเยอะ แต่ยังไม่กลมกล่อม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับผมที่อาจจะไม่ใช่คอหนังซอมบี้หรือผีดิบ หนังเทศสไตล์ซอมบี้เรื่องล่าสุดที่ผมดูคือ world war z ส่วนหนังไทยคงเป็น 5 แพร่ง ตอน Backpacker ซึ่งหนังผีดิบทั้งสองเรื่องยังติดตา ติดใจผมอยู่จนถึงทุกวันนี้ วันที่ผมเพิ่งมีโอกาสดู “ผีห่าอโยธยา” หนังซอมบี้ย้อนยุคของ คุณชายอดัม หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล

ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมดูหนังแล้วคิดแบบชาวบ้าน คือดูเอาสนุก เอาบันเทิง ถ้าหนังเรื่องไหนพอจะมีความคิดดีๆ แฝงอยู่นั่นถือเป็นโบนัส ดังนั้นผมจึงไม่มีประเด็นวิชาการไปเชื่อมโยง หรือพูดถึงเทคนิคการถ่ายหนัง มุมกล้องอะไรต่อมิอะไร เพราะผมก็แค่คนดูหนังคนหนึ่ง…เกริ่นมาซะยาวเข้าเรื่องกันเถอะครับ

“ผีห่าอโยธยา” นับเป็นหนังเรื่องที่สองของคุณชายอดัมต่อจาก “สารวัตรหมาบ้า” ที่ออกฉายไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน สำหรับภาพยนตร์เรื่องผีห่าอโยธามีกระแสดรามาเริ่มต้นเล็กๆ ตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย เนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวกับเค้าโครงเรื่องไปใกล้เคียงกับโปรเจคหนังสั้นของนักศึกษาสถาบันหนึ่ง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ดังตั้งแต่ยังไม่คลอด เลยยิ่งส่งผลทำให้ผมอยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้น หลังจากรอติดตามมาตั้งแต่ต้นปีที่แว่วว่าจะเข้าโรง แต่ก็เลื่อนมาจนได้ฤกษ์ฉายเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

หนังซอมบี้ฝีมือคุณชายเปิดเรื่องด้วยเสียงต่อสู้โดยการใช้ดาบ (ในใจแอบมีคำถามขึ้นมาทันทีว่าตกลงตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนอวสานหงสา ของท่านพ่อคุณชาย อวสานจริงๆ หรือเปล่า) ซึ่งจริงแล้ว “ผีห่าอโยธยา” เป็นการถ่ายทอดภาพตอนหนึ่งในระหว่างมหาสงครามอโยธยากับหงสา ที่บอกเล่ากันว่ามี  “โรคห่า” ระบาดแต่กลับกลายเป็นหายนะเมื่อศพที่เสียชีวิตจากโรคห่าฟื้นชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งในคราบผีดิบ ลุกขึ้นมากัด ฉีกกินเลือดเนื้อทุกคน เพื่อให้กลายเป็นพวกเดียวกับมัน

เรื่องราวหลักๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่หลังจากมีการพบศพคืนชีพเป็นผีดิบ เหล่าซอมบี้เพิ่มจำนวนและเริ่มออกอาละวาดไล่กัดกิน ขยายพันธุ์ผีดิบเป็นวงกว้าง ชาวบ้าน หญิง ชาย ลูกเล็ก เด็กแดงก็ไม่ได้รับการยกเว้น แต่กลุ่มคนที่ดำเนินเรื่องหลักๆ และอยู่ช่วยฟันหัวซอมบี้ (วิธีเดียวที่จะกำจัดซอมบี้ให้สิ้นซาก) จนเกือบท้ายเรื่องมีทั้งทหารขี้เมา เด็กวัดเจ้าสำราญ เจ้าของซ่องพร้อมสมุน นางซ่องเป็นใบ้ หญิงตีดาบ และคู่รักต่างชนชั้น แม้จะต่างความคิด ต่างบทบาท แต่ทั้งหมดนี้กลับมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องเอาชีวิตรอดจากซอมบี้

ตัวหนังไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และไม่ได้ผูกเรื่องให้เราต้องครุ่นคิดอะไรมากมาย จะมีแทรกความคิดเสียดสีสังคมเล็กน้อยในเรื่องความสามัคคี ความเห็นแก่ตัวที่อาจจะทำให้ทุกๆ คนสามารถกลายเป็นผีห่าในเชิงเปรียบเทียบ หนังเลือกที่จะสื่อสารกับคนดูแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซ่อนเร้น เพราะมันก็แค่การช่วยกันกำจัดผีห่าท่วมเมืองเหล่านี้ให้หมดสิ้น และทุกคนต้องพยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปจากหมู่บ้านผีดิบแห่งนี้ให้ได้เท่านั้น 

แต่สิ่งที่ผมประทับใจทันทีตั้งแต่หนังเปิดเรื่องคือโทนสีของหนัง ซึ่งเข้าใจว่าหนังย้อนยุคมักฉาบทาด้วยสีที่ให้อารมณ์ลักษณะนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันละมุนกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยดูหนังเรื่องอื่นในสไตล์เดียวกัน แน่นอนครับว่าถ้าคุณชายเลือกใช้หนังสีปกติ คนดูอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนในการชมภาพยนตร์มากกว่านี้ เนื่องจากต้องยอมรับเลยครับว่า ฉากฆ่าฟันคอ ทุบหัวซอมบี้เลือดกระฉูดมีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ผมเลยรู้สึกว่าหนังสีนี้ทำให้ผมสามารถยืดระยะชมภาพยนตร์ไปได้จนจบเรื่อง แต่ใครที่ไม่พิสมัยหนังแบบเห็นเลือด เห็นเนื้อ เห็นเส้นเลือด เห็นกระดูกกันจะจะ ผมแนะนำว่าอย่าเสี่ยง

นอกจากฉากแอคชั่นฟันคอผีห่าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันชวนสยิวให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คือสาวในชุดเกาะอกไทยโบราณ โดยเฉพาะฉากเสพสังวาสริมธารน้ำตก และรูปร่างชวนจินตนาการของสาวตีดาบ ผมว่านี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหนังถ่ายถอดภาพหวิดเปลือยได้น่าชมผสมสยิว และชวนให้นึกถึงฉากเร่าร้อนของหนังไทยยุคเก่าที่ขาดหายไปนาน ผมเชื่อว่าถ้าใครไปดูโดยเฉพาะหนุ่มๆ ต้องไม่ละสายตาไปจากฉากเหล่านี้อย่างแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าดีเยี่ยมเลยคือเทคนิคทางด้านการแต่งหน้าทั้งหน้าผีและหน้าคน โดยเฉพาะความเละเทะบนหนังหน้าซอมบี้ แผลผุพอง น้ำเลือด น้ำหนอง โอ้ย… เละได้ใจครับ ดังนั้นโดยรวมผมว่าหนังซอมบี้เรื่องนี้ถ้าเราจะดูว่ามันเป็นหนังแอคชั่นสยดสยอง มันก็ใช่เลย เพียงแต่รสชาติหนังมันอาจยังไม่กลมกล่อมทั้งเรื่อง 

เนื่องจากยังพบจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าปรับแก้ได้ จะทำให้รสชาติหนังดีขึ้น โดยเฉพาะการแสดงของนักแสดงหลายๆ คนที่ยังดึงอารมณ์คนดูได้ไม่ดีนัก จะมีที่เข้าท่าหน่อยก็คงเป็นสาวใบ้ขายตัวที่ใช้แววตา ท่าทางสื่ออารมณ์ได้ดี ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังแข็งเป็นซอมบี้กันอยู่ 

หรือบางฉากในหนังโดดชนิดที่ผมอึ้งและเกิดคำถาม อย่างฉากสาวใบ้ขายตัววิ่งหนีออกจากซ่องที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง จู่ๆ วิ่งมาในป่าซะแล้ว ผมนี่งงไปแป๊บนึง ก่อนจะเรียกสติกลับมาติดตามเรื่องต่อ หรือแม้แต่เรื่องของเสียงตัวแสดงแบบที่ไม่เห็นหน้า น้ำเสียงยังโดดฟังออกว่าเป็นเสียงพากษ์ที่งานอาจยังไม่ค่อยประณีตสักเท่าไร 

หลังจากชมภาพยนตร์เสร็จผมพยายามคิดว่าหรือเพราะหนังเรื่องนี้เครื่องปรุงเยอะ เพราะมันรู้สึกเหมือนกับว่าผู้กำกับพยายามหยิบวัตถุดิบ และเทคนิคหลายๆ อย่างผสมผสานกัน โดยต้องการให้ทั้งหมดกลมกล่อมในจานๆ เดียว ซึ่งสำหรับผมที่ชอบดูหนังไทย (ถ้ามันน่าดูจริงๆ) ผมว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ผู้กำกับคิดทำหนังสไตล์อื่นๆ มาเสิร์ฟให้คนดูลองชิม ลองชมอะไรที่หลากหลาย เพราะบางทีผมก็เบื่อหนังตลาด หนังตลก หนังมุกฝืดๆ ที่ทำเงินมหาศาลในบ้านเราเหมือนกัน 

เพียงแต่อาหารที่มีวัตถุดิบ และเทคนิคหลากหลายที่ว่า สิ่งสำคัญมันก็ต้อง “รสชาติดี” หรือบางครั้ง “ได้สารอาหาร”  ซึ่งผมว่าไม่เป็นไร เราอาจต้องให้เวลากับผู้ปรุงอีกสักนิด 

ความน่าชม 6/10

Text by: Tomorrow is Yesterday


อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง ผีห่าอโยธายา…ผีดิบไท้ไทย เครื่องเยอะ แต่ยังไม่กลมกล่อม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook