กัปตัน-ภูธเนศ หงษ์มานพ คนของแผ่นดิน

กัปตัน-ภูธเนศ หงษ์มานพ คนของแผ่นดิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กัปตัน - ภูธเนศ หงษ์มานพ หลายคนรู้จักผู้ชายคนนี้มานาน และยุคหนึ่งเขาเคยครองหัวใจสาวๆ ทั้งประเทศ แต่มาถึงวันนี้ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไป แต่ความเนื้อหอมของผู้ชายคนนี้ไม่เคยลดลงเลย และเมื่อเรามีโอกาสได้เจอ กัปตัน เราจึงไม่รอช้ารีบจับมานั่งพูดคุย ซึ่งวันนี้เราทำตามคำเรียกร้องของสาวๆ หลายๆ คนที่อยากให้เราไปเปิดใจผู้ชายคนนี้ เพราะฉะนั้นอย่าช้าอยู่เลย เราไปพูดคุยกับเขากันเลยดีกว่า ..... กับชีวิตในวงการที่ทำงานมาเกือบ 20 ปี ? ผมอยู่วงการมาก็ไม่กี่ปีก็จะ 20 ปีแล้ว มันเร็วนะ และพอเห็นคนรุ่นใหม่มันก็เหมือนเรามองเห็นตัวเองตอนเด็กๆ คือมันเป็นสัจธรรมของโลกที่เราเองก็ต้องเข้าใจ และผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่ในช่วงไหนขาขึ้นหรือว่าขาลง ผมมองว่าคนเรามันก็เหมือนพลุ เมื่อยิงขึ้นฟ้าไปแล้วยังไงมันก็ต้องตกลงมา ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องตกลงมา ทุกคนหนีแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันจะตกลงมาสง่างามแค่ไหนหรือว่ารูปแบบใด มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ด้วยธรรมชาติคือสังขารมันก็ไม่มีใครคงสภาพรูปลักษณ์ของตัวเองไว้ได้เราเข้าใจมัน แต่ช่วงนี้ผมก็มีความสุขนะที่ผมได้ทำงาน ได้เจอรุ่นใหม่ๆ เหมือนวันหนึ่งเราเติบโตขึ้นในเส้นทางอาชีพของเรา เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มองว่ามันเป็นขาขึ้นหรือว่าขาลง ผมไม่ยึดติดกับมันอยู่แล้ว ดูเข้าใจสัจธรรมและทำใจยอมรับได้อย่างมีความสุข ตรงนี้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังหรือเปล่า ? ก็ศึกษาก็ชอบนะ แต่ผมไม่ได้มานั่งบอกว่าผมอ่าน แต่ผมว่าทุกคนก็เป็นแหละ การสวดมนต์ ไหว้พระ เพื่อทำจิตใจให้สงบ ผมว่าถ้าเรามองสังคมนี้ดีๆ ผมว่ามันวุ่นวายมากที่ผมคิดด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง และทุกคนก็มีทางออกของตัวเองเพื่อผ่อนคลาย อย่างผมผมก็มีธรรมะ ผมอยากจะบอกว่าพุทธศาสนาช่วยได้จริงๆ นะ มาถึงวันนี้คิดว่าเป็น กัปตัน-ภูธเนศ นี้ยากมั้ย ? ผมพูดกับทุกคนเสมอว่า ผมถือว่าผมโชคดีและมีโอกาส ผมเชื่อว่าคนเก่งๆ มีเยอะ และเมื่อก่อนผมเองไม่ได้มาจากการประกวด เราแค่เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่จับพลัดจับพลูได้มาเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกคือ กระโปรงบานขาสั้น ของ พี่ต้อ-ชาติชาย แก้วสว่าง ก็คิดว่าเรื่องเดียวก็จบ แต่ทุกอย่างมันถูกกำหนดมาเองโดยสเต็ป มาละคร มาออกเทป ทุกอย่างมันดำเนินให้เรามามีชีวิตแบบนี้ ผมถือว่าผมเป็นคนโชคดีคนหนึ่งและผมเป็นคนมีโอกาสที่ดีคนหนึ่ง ผมโชคดีที่ผมเจอคนรอบข้างดีๆ เพื่อนที่ดี และทุกอย่างรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่ดีที่ทำร้ายเรา ไอ้สิ่งที่ไม่ดีเราเห็นอะไรมาเยอะ เพราะเราก็ทำงานมานาน แต่การที่เราได้เป็น ภูธเนศ ทุกวันนี้โอเคส่วน หนึ่งมันมาจากเราด้วย และอีกส่วนหนึ่งมาจากคนดีๆ ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพด้วย และคนดูที่สนันสนุนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็น กัปตัน-ภูธเนศ ในวันนี้ และส่วนหนึ่งที่ผมมาถึงวันนี้ มันทำให้ผมคิดว่าผมเองก็อยาก จะทำอะไรตอบแทนคืนให้กับวงการบ้างเหมือนกัน เคยเหลิงไหม ? เหลิงนี้ผมพูดตรงๆ เลยว่าไม่เคยเหลิง แต่เคยเหนื่อยท้อจนแบบที่ว่าไม่เอาแล้ว พอแล้ว อยากจะออกจากวงการมากตอนนั้น เพราะว่าผมทำงานในเวลาเดียวกันหลายอย่างมากนะ ตอนนั้นทั้งออกเทป ถ่ายละคร ถ่ายหนัง เรียนหนังสือ และงานโชว์ตัวต่างๆ อีก มันเหนื่อยมากจริงๆ ตอนนั้นทุกอย่างเข้ามาพร้อมกันในเวลาเดียวกัน คือตื่นขึ้นมาน้ำตาไหลเลยเพราะมันเหนื่อยมาก คือเราก็ไม่ได้เปรี้ยงแต่ยุคนั้นที่เราเป็น ยูเอชที เราก็ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ผมรู้แล้วว่างานหนักจริงๆ มันเป็นยังไง ผ่านช่วงความท้อแท้มาได้ยังไง ? ก็ได้คุณพ่อครับ ได้ที่บ้านช่วย เขาจะคอยพูดว่าเราเลือกเองนะที่จะเดินมาทางนี้แล้วนะ เขาไม่ได้บังคับเรานะและสิ่งที่เราทำ มันก็ได้ผลตอบแทนที่เราได้กลับมาจากประชาชน คนรอบข้างที่เขาดูเราอยู่ ถ้าเราทำแล้วเรามีความสุข แล้วทำไมเราจะทิ้งมันตอนนี้เหรอเพราะว่าแค่เหนื่อย จริงๆ เราควรจะดีใจนะ ก็เป็นสิ่งที่เขาพูดให้เราคิด ก็เป็นกำลังใจให้เราลุยต่อไป พอมาถึงวันนี้ล่ะ กัปตัน ว่าชีวิตที่ดำเนินมาเป็นยังไงบ้าง ? ผมก็มีความสุขกับงานกับทุกสิ่งที่ผมทำนะ และชีวิตส่วนใหญ่ก็อยู่กับบ้าน ดูแลแม่ ดูแลน้อง มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น และมองหาว่าในอนาคตเราจะทำอะไรที่เรามีความสุข คือผมบอกตรงๆ ว่าผมคงอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะด้วยอากาศ ด้วยสภาพความกดดันต่างๆ คิดว่าทำไมเราต้องมาอดทนอยู่กับสิ่งพวกนี้ ด้วยสภาวะที่บีบรัดเหลือเกิน แต่ก่อนที่เราจะคิดสเต็ปต่อไป ณ วันนี้เรายังมีแรงที่จะทำงานได้อยู่ เราก็ต้องทำงานก่อน และสิ่งไหนที่เราอยากจะทำอะไรที่ตอบแทนแผ่นดินด้วย แล้วอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนแผ่นดิน ? คือถ้าผมรวยนะ ผมอยากทำมูลนิธิ ผมเชื่อว่าสังคมเมืองไทยมันต่างกันเยอะเหลือเกิน ผมไม่พูดเพื่อให้มันดูดีหรือสร้างภาพ แต่อย่างเราไม่ได้ถือว่ารวยแต่เราไม่ได้ลำบาก ผมอยากให้คนที่มีกำลังให้หันมาใส่ใจสังคมมากขึ้น คือผมเห็นวิวบอร์ดอันหนึ่งที่เห็นแล้วสะท้อนใจมากคือ เด็กแย่งข้าวหมากิน มันเห็นแล้วสะท้อนใจมาก คิดเลยว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ คือตอนนี้ผมมีแบ่งของผมไว้อย่างนี้นะ คือเงินค่าตอบแทนตอนหนึ่งที่ผมได้จากการถ่ายละคร ผมจะเอาไปทำบุญ และถ้าไปงานอื่นๆ ได้เงินค่าตอบแทนมาผมก็จะแบ่งเอาไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ไว้ทำบุญ ผมมีกระปุกน้องหมาอยู่ตัวหนึ่งที่ผมหยอดกระปุกเพื่อจะเอาไว้ทำบุญ ส่วนจะเอาไปทำอะไรยังไงบ้างนั้นก็ต้องดูครับ บางครั้งก็จะมีหนังสือจากมูลนิธิต่างๆ ส่งมาขอบริจาคผมก็จะส่งไป แต่ที่ผมทำประจำก็คือบริจาคเลือด ที่ผมจะบริจาคทุก 3 เดือน ผมว่าเรารับมาเยอะแล้ว เราควรที่จะแบ่งปันให้สังคมกลับไปบ้าง งั้นขอถามเรื่องความรักบ้าง มาถึงวันนี้น่าจะถึงเวลามีแฟนได้แล้วนะ ? เรื่องนี้ผมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ และผมก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร แต่ผมไม่อยากให้คนมองว่าคนในวงการจะเป็นพวกที่รักง่ายเลิกเร็ว คือบางทีเราก็รู้สึกไปกับข่าวเหมือนกัน จริงๆ มันไม่ใช่ แต่อยากให้รู้ว่าเราก็มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่แบบที่เลิกกันก็ขึ้นหน้าหนึ่ง แต่ถามว่าเข้าใจมั้ยก็เข้าใจนะ แต่ว่าบางครั้งมันกระทบกับจิตใจคน ซึ่งอย่างเรื่องแบบนี้มันก็ลึกสุดใจเหมือนกันนะเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่อยากจะให้มันออกมาไม่ดีหรอก แต่สำหรับผมผมเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ ผมเองอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว กับการที่เราจะมีใครสักคนมันก็ไม่แปลก แต่ก็อยากจะให้คบกันด้วยความมั่นใจและเดินไปด้วยกัน และด้วยหน้าที่การงานที่เราเป็นแบบนี้ แน่นอนอยู่แล้วว่ามันก็ต้องมีข่าวเป็นเรื่องปกติ แต่ผมก็พยายามรักษาไม่ใช่พยายามสร้างภาพนะ คือผมอยากจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน เพราะเคยได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่นมาเหมือนกัน ผมพยายามทำอยู่ให้คนที่เขาชื่นชอบเราได้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีบ้างไม่มากก็น้อย ก็ไม่ใช่ว่าผมจะปิดกั้นอะไรนะ แล้ววันนี้เจอคนที่ใช่หรือยัง ? ก็ยังเดินทางอยู่ครับ ซึ่งผมว่าวันหนึ่งมันจะบอกได้เอง คือผมไม่อยากกดดันตัวเองหรือใครๆ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าตรงนี้มันต้องใช้เวลา คนเรานะถ้าถึงเวลามีคู่ก็ต้องมีครับ คำถามสุดท้าย คิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มเนื้อหอมหรือเปล่า ? ไม่หอมหรอกครับ ( หัวเราะ ) ผมว่าไม่ต้องถึงขั้นเนื้อหอมหรอกครับ ขอแค่คนเดียวดีๆ ก็พอแล้ว สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ กัปตัน-ภูธเนศ หงษ์มานพ คนของแผ่นดิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook