10 หนังประทับใจ สันติสุข พรหมศิริ
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060

    10 หนังประทับใจ สันติสุข พรหมศิริ

    2011-05-16T00:00:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    10 หนังประทับใจนักแสดงหนุ่มตลอดกาล 'หนุ่ม' สันติสุข พรหมศิริ

    หลายคนคงคุ้นเคยกับนักแสดงหนุ่มใหญ่หน้าตาคมคายคนนี้จากหลากหลายบทบาทที่เขาได้รับ แต่ที่ติดตาตรึงใจ และยังคงอยู่ในใจแฟนที่สุดก็เห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากบท บุญชู บ้านโข้ง หนุ่มสุพรรณผู้แสนจะใสซื่อ จริงใจ ที่ขโมยความประทับใจจากผู้ชมในหนังชุด บุญชู ของ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ผู้ล่วงลับ นอกจากผลงานบนจอเงินแล้ว ชายคนนี้ยังมีผลงานมากมายบนจอแก้ว และยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์หลากรายการ รวมทั้งยังเป็นนักพากย์เสียงภาษาไทยให้กับภาพยนตร์ต่างประเทศและแอนิเมชั่นอีกหลายเรื่องอีกด้วย ซึ่งงานหลังนี้เองที่ล่าสุด ในระหว่างงานเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่น Hop ที่เขาเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงผู้ให้เสียงภาษาไทย ที่เขาสละเวลาและเปิดโอกาสให้เราได้มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์พูดคุยเพื่อเสาะหา 10 หนังในดวงใจของนักแสดงหนุ่มตลอดกาลอย่าง พี่หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ (ก็พี่เขาชื่อ 'หนุ่ม' นี่นา!) เอามาฝากเป็นของขวัญให้กับแฟน ๆ และผู้อ่านได้อ่านกัน

    ใน Hop นี่ พี่หนุ่มพากย์เสียงเป็นตัวละครตัวไหนครับ มันเป็นไลฟ์แอนิเมชั่นครับ จริง ๆ มันเป็นหนัง แต่ว่ามีแอนิเมชั่นที่เล่นกับคน ก็เป็นงานให้เสียงภาษาไทย พี่ก็ทำมาเป็นสิบเรื่อง ตั้งแต่ Toy Story, Ice Age ฯลฯ เรื่องนี้ก็มาพากย์เป็นตัวพ่อของพระเอกในเรื่อง ก็เป็นกระต่าย ในเรื่องก็เกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์ ก็เป็นกระต่ายที่ส่งไข่อีสเตอร์ เป็นหนังสนุก เป็นหนังวัยรุ่นดูได้ เพราะว่าตัวเอกเนี่ยมันชอบตีกลอง มันไม่ยอมทำงานกับพ่อ แล้วหนีไปเมืองมนุษย์ไปตีกลองไปร้องเพลงจนเจอกับตัวละครที่เป็นคน แล้วเรื่องดูหนังล่ะครับ ปกติพี่หนุ่มชอบดูหนังแนวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า? ชอบดูพวกหนังไซไฟ หนังแอ็คชั่น ดูง่าย ๆ แต่ถ้ามีเวลาหน่อยก็จะดูหนังเครียด ๆ หนังดราม่าเหมือนกัน แต่ถ้าดูฉาบฉวยก็จะดูหนังอย่างที่บอก ปกติสมัยวัยรุ่นเป็นคนชอบดูหนังมาก หนังฝรั่งนี่ไม่พลาดเลย ดูเกือบทุกเรื่อง แต่ตั้งแต่มาเริ่มเล่นหนังก็ไม่ค่อยได้ดูหนัง เพราะว่าช่วงหลังเป็นคนที่อยู่ในที่แคบ ๆ ออกมาแล้วจะปวดหัว ไปดูหนังช่วงหลัง ๆ ออกมาแล้วจะปวดหัวตุบ ๆ ๆ ก็เลยรอซื้อแผ่นดูที่บ้านดีกว่า ย้อนกลับไปสมัยก่อน อะไรทำให้พี่หนุ่มชอบดูหนังครับ ตั้งแต่เด็ก ๆ ชีวิตก็ผูกพันกับหนังมา คือสมัยก่อนพี่อยู่ต่างจังหวัด อยู่สิงห์บุรี ซัก 4-5 ขวบ สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีทีวีกัน เพราะฉะนั้นความบันเทิงของเด็กยุคพี่เนี่ย มันก็จะเป็นหนังขายยา มีหนังฝรั่ง ป้อมปืนนาวาโลน มีหนังจีน มันเป็นอีกโลกนึงเลยน่ะ ก็เริ่มมาจากหนังกลางแปลง ดูยันเช้าเลย เพราะเวลาเขาฉาย เขาฉายกันทีเป็นสิบเรื่อง หนังเรื่องไหนดี ๆ หน่อยก็จะเก็บไว้ดึก ๆ บางทีดูกันจนสว่างหนังยังไม่จบ ดูต่อไม่ได้ มองไม่เห็นก็เลิก (หัวเราะ) มันก็ฝังมาตั้งแต่เด็กว่าการดูหนังมันเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องตื่นเต้น เป็นเรื่องผ่อนคลาย ได้ดู มนต์รักลูกทุ่ง ตั้งแต่ คุณมิตร ชัยบัญชา เล่น ดูในโรง ดู จุฬาตรีคูณ พอย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ก็อยู่แถวพระโขนง ก็เป็นแหล่งโรงหนังเลย มีทั้ง พระโขนงรามา พระโขนงเธียเตอร์ เจ้าพระยาเธียเตอร์ ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ก่อนพระโขนงรามาเนี่ยฉายหนังไทย เจ้าพระยาเธียเตอร์ฉายหนังจีน พระโขนงเธียเตอร์นี่ฉายหนังฝรั่ง พอมาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ก็ดู เพราะทางบ้านเรารู้จักกับคนเฝ้าโรงหนัง ก็จะได้ตั๋วพิเศษมา สมัยก่อนเขาจะมีการ์ดดูฟรีโปรแกรมละครั้ง จำได้ว่าดู เจมส์ บอนด์ 007 ดู ขุมทองแม็คเคนน่า สมัยก่อนตอนที่พี่วัยรุ่นสักยุค 70 มันเป็นยุคของหนังฝรั่ง หนังคาวบอย มี คลินต์ อีสต์วูด ยุคนั้นมันเฟื่องฟูมาก โรงหนังก็จะมี แม็คเคนน่า คือตั้งชื่อตามหนังเรื่อง ขุมทองแม็คเคนน่า แล้วตอนนั้นก็จะมีโรง เมโทร ปารีส ฮอลลีวูด พาราเมาต์ ออสการ์ ตอนนั้นหนังฝรั่งล้วน ๆ เราก็ได้ดูเยอะเพราะดูฟรี (หัวเราะ) ก็ไปดูกับคุณพ่อบ้าง พอโตหน่อยก็ไปดูเอง เพราะแต่ก่อนโรงหนังมันฉายวน สองเรื่องควบ 5 บาท ฉายทั้งวัน ดูได้ทั้งวัน เข้าไปดูตอนท้าย ก็รอ เดี๋ยวมันก็วนมาถึงตอนหัวใหม่ แล้วก็ดูจนจบอีกที (หัวเราะ) ก็ทำให้ชีวิตค่อนข้างผูกพันกับหนัง แต่อย่างที่บอก พอมาเริ่มเล่นหนังแล้วก็ไม่ค่อยได้ดู เพราะไม่มีเวลาดู ต้องมาเล่นเอง (หัวเราะ) โลกที่เห็นในหนังตอนเด็ก ๆ แต่พอเวลามาอยู่เบื้องหลัง ได้มาเป็นคนเล่นเองแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ สมัยก่อนด้วยความที่เราดูหนังฝรั่งมาเยอะ เราก็จะมีความรู้สึกว่า โอ้โห! อเมริกามันเป็นอย่างนี้เองเหรอ มันขี่ม้ากันทั้งประเทศเลยเหรอ? ทำไมขี่ม้าเก่งกันจัง โดยที่เราไม่รู้ว่ามันเป็นม้าฝึก หรืออย่างเราดู คลินต์ อีสต์วูด ดู Dirty Harry ถ้าอยากรู้ว่า ซาน ฟรานซิสโกซักปี 70 กว่ามันเป็นยังไง เรื่องนี้มันจะมีเยอะมาก มันจะมีถ่ายทั้งเมืองเลย เราจะได้เห็นเลยว่า อ๋อ! ซาน ฟรานซิสโกมันเป็นอย่างนี้ มันมีรถไฟ คนแต่งตัวอย่างนี้ ซึ่งมันทำให้เราซึมซับ คิดไปว่ามันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ หนังไทยก็เหมือนกัน อ๋อ มันมีอย่างงี้จริง ๆ เหรอ ยิงภูเขาเผากระท่อม มันมีกระท่อมอยู่กลางภูเขาอย่างงี้จริง ๆ เหรอ พอมาอยู่เบื้องหลังจริง ๆ ก็เลยรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ (หัวเราะ) เขาทำไว้เพื่อระเบิด มันก็เลยอยู่ตรงกลางภูเขา ไม่งั้นมันจะดับไฟยาก บางอย่างมันก็ใช่ บางอย่างมันก็ไม่ใช่ บางอย่างมันก็เป็นบรรยากาศของยุคสมัยนั้น เพราะหนังมันเป็นภาพสะท้อนของยุคสมัย อย่างดู น้ำพุ เราก็จะได้เห็นสยามสแควร์ซักปี 2525-26 แต่มันก็จริงบ้าง หลอกบ้าง แล้วแต่ว่าผู้กำกับเขาหลอกถ่ายมุมไหน ตรงนี้จริง ๆ แล้วไม่มีคน ก็ไปเซ็ตให้มันมีคนอะไรอย่างนี้ แล้วความรู้สึกเวลาดูหนังมันเปลี่ยนไปไหมครับ เปลี่ยน พอเรามาอยู่เบื้องหลังมันก็เปลี่ยนไปเลย อย่างดูหนังฝรั่งเขาจะเนียนมากเวลาถ่ายฉากถนน ตัวประกอบเดินกันเต็ม ถ่ายไกล ๆ เขาเซ็ตเนียนจนเรานึกว่ามันไปแอบถ่ายหรือว่าอะไร แต่จริง ๆ แล้วคือเขาเซ็ตติ้ง ยิ่งหนังฮอลลีวูดน่ะเก่งมาก ดูแล้วเชื่อเลย แต่อย่างหนังไทยเนี่ย มันจะมีมองกล้องบ้าง (หัวเราะ) คือไปแอบถ่ายแล้วไม่เซ็ต หรือเซ็ตก็จะดูจงใจ เห็นแล้วรู้เลย (หัวเราะ)

    เข้าเรื่องหนังที่พี่หนุ่มเลือกมาบ้างนะครับ เรื่องแรก Mackenna's Gold ขุมทองแม็คเคนน่า เรื่องนี้ดูตอนมาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ก็ชอบมาก เกรเกอรี่ เพ็ค, โอมาร์ ชารีฟ ดูแล้วสนุก พี่ชอบหนังที่ผจญภัยแบบนี้แหละ เหมือนกับ เพชรพระอุมา ไปหาอะไรสักอย่างแล้วก็ผจญภัยไป ระหว่างทางก็มีหักหลังอะไรกัน คือดูแล้วมันได้อารมณ์ดี เพลงมันก็เพราะ ตอนเปิดเรื่องมันเป็นภาพมุมสูง เป็นมุมมองของนกอินทรีไกล ๆ แล้วก็เป็นเพลงโกลด์น่ะ (ร้องเพลงให้ฟัง) เพลงมันเพราะมาก เป็นคาวบอย แล้วก็ถ่ายไม่คัทเลย ตั้งแต่เห็นคนเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วก็ซูมมมมม จนเห็นเป็น เกรเกอรี่ เพ็ค ขี่ม้าอยู่ โห ฉากนี้กว่าจะถ่ายได้มันคงยากมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประทับใจเพราะดูแล้วมันสนุก ที่เมื่อกี้บอกว่าโรงหนังสมัยก่อนอย่าง แม็คเคนน่า ในบ้านเรา ก็ตั้งชื่อตามหนังเรื่องนี้ ใช่ ตอนนั้นหนังมันดังมาก ๆ ไง ขุมทองแม็คเคนน่า นี่ดังสุด ๆ โรงหนังสมัยก่อนมันไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ มันก็จะมีโรงหลัก ฉายโรงเดียว บางทีฉายกัน 2-3 เดือนยังไม่ออก เพราะความที่มันมีโรงน้อยไง ก็ฉายจนกว่าจะไม่มีคนดู เดี๋ยวนี้สองวันก็หมดแล้ว เพราะว่าโรงมันเยอะเหลือเกิน (หัวเราะ) แล้วค่าดูก็แพง สมัยก่อนมันไม่แพงเท่าไหร่ 20-30 บาท

    เรื่องที่สอง 2001: A Space Odyssey หนังมันจินตนาการสูง ล้ำสมัยมาก ขนาดหนังมันเก่ามาก แต่เรามาดูตอนนี้ก็ยังทันสมัยอยู่ ชุดหรืออะไรต่าง ๆ ที่เขาออกแบบไว้มันทันสมัยมาก ฉากบนดวงจันทร์ ที่พ่อโทรคุยกับลูกบนโลก มันคิดได้ยังไง หนังมัน 40 กว่าปีแล้ว มันยังไม่มีอินเตอร์เน็ตเลย แต่มันเหมือนเพิ่งทำขึ้นเมื่อวานนี้น่ะ ดีมาก แล้วก็ชอบการถ่ายภาพ การแช่ภาพของเขา เรื่องนี้มันจะมีการแช่ภาพเยอะมาก คือแช่ไว้นิ่ง ๆ แล้วตัวละครเล่น นาน 4-5 นาทีเลย คือดูแล้วมันคิดดี มันเริ่มเรื่องตั้งแต่สมัยคนยังเป็นลิงอยู่เลย มีมนุษย์ต่างดาวมา แสดงว่ามันมาโลกเราตั้งแต่สมัยยังไม่มีอยู่เลย เอาแท่งอะไรมาทิ้งไว้ให้ แท่งหินสีดำอะไรของมันก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เรื่องนี้ดูสมัยก่อนนานแล้ว แล้วก็มาดูอีกทีตอนเขาทำเป็นบ็อกซ์เซ็ตขาย ก็เลยจำได้ คือตอนนั้นเราเป็นเด็ก ๆ ไง ถ้าหนังมียานอวกาศ เราก็สนใจ สมัยก่อนเราก็ดูผ่าน ๆ ดูเอาหวือหวา ตื่นเต้น มียานอวกาศมีอะไร แต่พอมาสมัยนี้เราก็ดูลึกขึ้น เข้าใจขึ้น ชอบวิธีการนำเสนอภาพของหนังเรื่องนี้ เขาเก่งน่ะ! สามารถแช่ภาพ 4-5 นาทีโดยเราไม่เบื่อ มันจะมีฉากยานลงจอดที่ดวงจันทร์ แล้วก็มีเพลงคลาสสิก (ฮัมเพลงให้ฟัง) เกือบ 5 นาทีน่ะ! คือมันเป็นความอ้อยสร้อยของอวกาศน่ะ

    เรื่องที่สามครับ Dog Day Afternoon อัล ปาชิโน่ กับอีกคนที่หัวล้าน ๆ (จอห์น แคซอล) เขาเล่นหนังด้วยกันบ่อย (The Godfather) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากทำหนังแบบนี้บ้าง เป็นหนังแอ็คชั่นที่เรื่องราวเกิดขึ้นแค่วันเดียว เช้ายันเย็น แล้วก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ พระเอกแค่จะหาเงินไปให้แฟนที่เป็นกะเทยแปลงเพศ ก็เลยไปปล้นธนาคารกันดีกว่า มันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สุดท้ายเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ดูแล้วมันตื่นเต้น ว่าพอเรื่องราวมันเลยเถิด มันหยุดไม่ได้แล้ว ต้อง Go On ไปข้างหน้า แล้วตัวประกันก็เริ่มเครียด สุดท้ายตัวประกันก็คอยเอาใจช่วยพระเอก คอยเป็นโล่เป็นอะไรให้ แต่สุดท้ายก็โดนยิงตาย ก็เป็นหนังที่ประทับใจ ตัวละครไม่เยอะ สถานที่ที่เดียว แต่ดูแล้วสนุก ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครทำอะไรแบบนี้ ถือว่าฮือฮาหวือหวามาก ตอนนั้นก็ดูสมัยวัยรุ่น ตอนดูหนังช่วงนั้นดูพากย์ไทยหรือมีซับฯ ครับ ส่วนใหญ่จะดูซับไตเติ้ล ตอนนั้นเนี่ย พากย์ไทยมันจะเป็นพระโขนงรามา ถ้าเด็ก ๆ ก็จะดูพากย์ไทย แต่พอช่วงโตมาหน่อยจะดูซับไตเติ้ล เพราะว่าสมัยก่อนเขาพากย์กันบางทีนี่เสียเรื่องเลยนะ คือเขาพากย์กันสนุกปากเกินไป อย่าง The Exorcist พากย์จนไม่น่ากลัวเลย (หัวเราะ) พากย์จนขำ เฮ้ย! ผีมาแล้วเว้ย เอ๊า! เสียหนังหมดเลย บางทีเขาพากย์สนุกสนานจนเกินไป แต่สมัยเด็ก ๆ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะ ก็จำได้ว่าไปดูหมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ เขาบอกว่าน่ากลัวมาก แต่เราดูแล้วก็เฉย ๆ เพราะเขาพากย์ตลกน่ะ คือหนังบางเรื่องสมัยก่อนนี่ไม่มีพากย์ไทยนะ เพราะว่ามันแค่ม้วนเดียว หนังมันฉายแค่โรงเดียว มันไม่คุ้มที่จะเอามาลงเสียงไทยไง

    เรื่องที่สี่ครับ Love Story เรื่องนี้ดูแล้วประทับใจ กินใจ เพลงเพราะ พระเอกก็ยังหล่อเนี้ยบอยู่ นางเอกก็สวย หนังสมัยก่อนส่วนใหญ่มันได้ด้วยเพลง เพลงเพราะ ตัวหนังกับการดำเนินเรื่องอะไรก็ดี คือมันเป็นต้นแบบของเรื่องรักที่ตอนจบต้องมีใครตายทุกเรื่อง หลัง ๆ หนังที่ตอนจบต้องมีใครเป็นโรคตายมีเป็นร้อย ๆ เรื่อง ก็เริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเรื่องแรก ตอนดูตอนนั้นก็เป็นวัยรุ่นแล้ว ก็อินนะ แล้วหนังก็มีวลีเด็ดที่ฮิตกันคือ "หากจะรักต้องลืมคำว่าเสียใจ" ดังมาก วัยรุ่นเอาไปพูดกันทุกคน ในขายหัวเราะ ในหนังสือก็เอาไปล้อเลียน เอาไปแปลงเป็นมุกตลกไปก็มี

    เรื่องที่ห้าครับ Tootsie เรื่องนี้ดูแล้วเชื่อว่า เออ! ดัสติน ฮอฟแมน เล่นดีมาก ไม่เหมือน Mrs. Doubtfire ที่เราดูแล้วตะขิดตะขวงใจว่า นางเอกมันไม่รู้ได้ไงว่าเป็นผัวปลอมตัวมา (หัวเราะ) แต่อย่าง Tootsie นี่เชื่อเลย เพราะ ดัสติน ฮอฟแมน ตัวเล็ก แล้วเขาก็แต่งหน้าแต่งอะไรดี แล้วก็เล่นดี เล่นแบบขาดเลย! เป็นหนังที่อยู่ในใจเรื่องนึงเลย แล้วเพลงก็เพราะมาก 'It might be you' จำได้ว่าไปดูที่โรง ฮอลลีวูด ในกรุงเทพฯ รู้สึกจะปี 26 น้ำท่วม ก็ยังไปดูหนังเรื่องนี้ ลุยน้ำไปดูเลย ใช่ ลุยน้ำไปดู (หัวเราะ) หนังเรื่องนี้ก็เป็นที่มาของคำว่า "ตุ๊ด" จาก "ตุ๊ดซี่" ชื่อของหนัง หนังเรื่องนี้พระเอกปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อจะเป็นดารา ดูแล้วเชื่อไหมครับ ว่าคนอื่นจะไม่รู้กันจริง ๆ ว่าเขาเป็นผู้ชาย เหมือนละครไทยสมัยนี้ที่ชอบเอานางเอกไปปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วไม่มีใครดูออกกันเลย เชื่อเลย เพราะมันเป็นที่แอ็คติ้ง ดัสติน ฮอฟแมน เขาไม่ได้แต่งเหมือนผู้หญิงเลยนะ แต่ Inner ลักษณะกริยาท่าทางที่เล่นออกมาเนี่ย ทำให้เราเชื่อว่า เออ! คนไม่รู้หรอกว่าไอ้นี่เป็นผู้ชาย แต่มันไม่ได้เหมือนแบบ ผิวพรรณเหมือนผู้หญิงอะไรอย่างงี้ แต่ว่ามันเป็นการแสดงที่เนียนมาก

    เรื่องที่หกครับ Midnight Cowboy ก็ ดัสติน ฮอฟแมน อีกเรื่องนึง กับ จอน วอยต์ ตอนนั้นหล่อเฟี้ยวมากเลย คือเรื่องนี้ก็สนุก มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่มันคนละขั้ว คนนึงก็บ้านนอก ซื่อ เข้ามาจะหาเงินอย่างเดียว อีกคนก็เขี้ยว คร่ำโลก เรื่องนี้ ดัสติน ฮอฟแมน ก็เล่นดีอีกแล้ว เล่นเป็นคนขาเป๋ ที่เป็นเหมือนกุ๊ยที่อยู่ในเมืองทั่ว ๆ ไป ที่ชอบหลอกต้มคน มันมีความฝันที่อยากจะไปเห็นทะเลที่ฟลอริด้า แต่สุดท้ายก็ตาย ไม่ได้เห็น นอนตายในรถ ดูเรื่องนี้แล้วชอบการแสดงของทั้งสองคน แล้วบทก็ดีมาก มันทำให้เห็นถึงสันดานของมนุษย์แต่ละคนว่าเป็นยังไง แต่ที่เด่น ๆ เลยก็คือการแสดง ชอบคนไหนมากกว่ากันครับ ชอบ ดัสติน ฮอฟแมน เล่นแบบขาดเลย สุดยอด ส่วนใหญ่หนังที่ชอบจะเป็นประมาณนี้ ตัวละครมันลึก ตัวละครมันไม่ลอย ถึงจะเลวถึงจะอะไรมันก็มีที่มาที่ไปว่ามันเป็นเพราะอะไร? ทำไม?

    เรื่องที่เจ็ดครับ Star Wars เรื่องนี้ก็ฝังใจเหมือนกัน ภาคแรก ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่ภาคแรกนะ มันเป็น Episode 4 A New Hope แต่จริง ๆ น่ะ ชอบทั้งหมดแหละ แต่ชอบอันเก่านะ อันใหม่เนี่ยเฉย ๆ เพราะเทคนิคอะไรในปัจจุบันมันก็ดีอยู่แล้ว แล้วมาดูเทียบกันเนี่ย เพราะพี่เอามาดูต่อกันเลย เนียนมาก ดูไม่รู้สึกสะดุดเลยว่า ไอ้อันแรกเนี่ยมันทำมาก่อนตั้ง 30 ปี ตอนนั้นก็ถือว่าขึ้นยุคใหม่ของวงการเลย ตอนนั้นอยู่มหา'ลัย แล้ว Star Wars เข้าก็ตื่นตาตื่นใจมาก ฉากยานอวกาศไล่ล่า ยิงกัน ชู่ว์ ๆ ๆ ดูแล้วมัน ทำได้ยังไง! มันเป็นยุคแรก ๆ ของซีจีเลย ทั้ง ๆ ที่เอามาสร้างใหม่ตอนเทคโนโลยีดีกว่ากันเยอะ แต่เทียบกันแล้วภาคใหม่ก็ยังสู้ภาคเก่าไม่ได้ อันเก่าดีกว่า ได้อารมณ์กว่า อันใหม่มันดูเยอะไป มากมายก่ายกองไป ดูไม่หมด อันเก่านี่คลาสสิกมาก ดูไปสี่ห้ารอบ สองปีภาคนึง ตอนนี้รู้สึกว่าภาคแรกก็ยังติดว่าเป็นหนังทำเงินตลอดกาลเลยนะ เป็นหนังในดวงใจอีกหนึ่งเรื่อง

    เรื่องที่แปดครับ Twister เรื่องนี้ถ้าดูอยู่ที่บ้าน แล้วฝนตกนี่ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องเคารพและยำเกรงธรรมชาติ แล้วหนังมันนำเสนอออกมาได้สนุก ทุกวันนี้ก็ยังเอามาดูได้เรื่อย ๆ คือชอบทีมที่มันไปไล่ล่าพายุ ซึ่งตอนหลังมีช่อง Discovery เอามาฉายให้ดูถึงรู้ว่ามันมีอยู่จริง ๆ นะทีมแบบนี้ แล้วดูแล้วมันสนุก คือเราเป็นคนที่ชอบหนังแบบนี้ ผจญภัยไปเรื่อย ๆ ไปตามล่าหาพายุอะไรแบบนี้ แล้วมันสามารถเอาเรื่องชีวิตรักของคน กับเรื่องพายุมาร้อยเป็นเรื่องเดียวกันได้ ซึ่งตรงนี้คนเขียนบทเขาเก่ง เขาเข้าใจ คนที่แยกกันไปแล้วกลับมาติดพายุอยู่ด้วยกันอีก กลับมารู้จักนิสัยเดิมกัน แล้วก็ปรับความเข้าใจกัน มันสามารถที่จะร้อยไปจนทำให้เราดูแล้วมันกลมกลืนไปกับหนัง โดยเฉพาะเรื่องเอฟ เฟกต์เสียง รู้สึกมันจะได้ชิงรางวัลออสการ์ด้วย สาขาซาวด์เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมด้วยนะ เสียงมันไม่ตูมตามหนวกหูจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไร แต่เวลาพายุมามันจะมีเสียงหอนของลม วี้ดดด! แล้วก็มีเสียงพายุข้างนอกอีก เพลงก็เพราะ มีหลายเพลง อีกอย่างดูแล้วได้กลิ่นอายของอเมริกัน ดูแล้วอยากไปอยู่อเมริกา ไปขับรถตามทุ่งอย่างงั้นบ้าง ไปไล่พายุเหรอครับ? ไล่พายุไม่เอา (หัวเราะ) ภูมิประเทศมันสวยดี มันมีไปเยี่ยมญาติ เข้าบ้านปุ๊บ ตักไข่ใส่จาน ขึ้นไปอาบน้ำ ไม่รู้จะชมใครดี การตัดต่อดี ดาราก็เล่นดีทุกคนเลย มีแคแร็กเตอร์ชัดเจนหมด เป็นหนังที่ลงตัว สามารถดูได้เรื่อย ๆ เอามาให้ลูกดู ลูกก็ชอบนะ ชอบดูพายุ มีฉากนึงตอนไปพักที่ชุมชนแล้วมันมีโรงหนังไดรฟ์อิน ในจอมันฉายหนังของ สแตนลีย์ คูบริก ด้วยนะครับ ใช่ The Shining ใช่ไหม แล้วมันได้อารมณ์พอดีนะ จอมันค่อย ๆ พัง จริง ๆ ชอบหนังของคูบริก หลายเรื่องนะ Lolita ก็ดี ดูแล้วคิดได้ยังไง ฉบับเก่าที่ ปีเตอร์ เซลเลอร์ส เล่นน่ะ กรุ้มกริ่มดี (หัวเราะ) เขาชอบทำหนังแปลก ๆ นะคนนี้

    เรื่องที่เก้าครับ Inception เรื่องนี้ไม่ได้ไปดูที่โรง ดูในดีวีดี ดูแล้วมันก็เป็นหนังอีกแบบนึงนะ เป็นหนังที่ คิดได้ยังไงน่ะ! เอาเรื่องที่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่เขาสามารถเอามาผูกร้อยเรื่องให้เป็นเรื่องเป็นราว ผจญภัยเป็นอะไรได้ขนาดนี้ มันจะอะไรกันนักกันหนา ฝันซ้อนฝัน สี่ห้าชั้น เข้าไปแก้ฝัน คนทำคิดได้ยังไง? เรื่องมันชวนให้น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา ฝันแรกเท่ากับสี่สิบเท่าของอีกฝันนึง แค่รถจะตกสะพานมาแต่ในอีกฝันทำโน่นทำนี่ได้อีกนาน เป็นหนังที่ตอนดูแล้วสนุกมาก แต่พอดูจบแล้วทำให้เราคิดได้ว่า นี่แหละคือหนัง คือมันสร้างมาจากเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีสาระ แต่เอามาทำเป็นเรื่องเป็นราวเป็นหนังได้ตั้งสองชั่วโมง แล้วดาราก็เล่นกันเต็มที่ ลีโอนาร์โด เรื่องนี้ก็เล่นดี ก็พัฒนาฝีมือ ปกติมันก็เป็นคนเล่นหนังเก่งอยู่แล้ว แต่คนจะติดภาพ Titanic เป็นหนังที่พูดเรื่องยาก ๆ ซับซ้อน ให้ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ใช่ เรื่องซับซ้อน เรื่องจิต แต่ในความเป็นหนังมันทำให้เราดูแล้วเข้าใจได้ สนุกสนานกับมันได้ เก่งมาก อย่างที่เขาทำ Batman อันใหม่ก็จริงจัง เป็นภาคที่ดูสมจริงที่สุด มีเหตุผลว่าทำไมผ้าคลุมมันเหาะได้ มันสามารถเอาวิทยาศาสตร์มาใส่เหตุผลให้เราเชื่อได้ เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่จริงจังที่สุด โหดที่สุด มันเกี่ยวกับจิตวิทยา ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบทแมน ทำไมถึงต้องเอาค้างคาวมาเป็นสัญลักษณ์

    เรื่องสุดท้ายครับ Toy Story 3 เป็นหนังที่ตัวเองเพิ่งพากย์เสียงไป ซึ่งเป็นภาคจบของเรื่องนี้ จริง ๆ เรื่องนี้ชอบมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วนะ บทหนังดีมาก กินใจมาก โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชายเนี่ย ดูแล้วต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้แน่นอน เพราะว่ามันสามารถที่จะแสดงออกถึงความเปลี่ยนไปของเด็กที่โตขึ้น ๆ ๆ แต่ไอ้ของเล่นเนี่ย มันไม่ได้โตขึ้น มันก็ต้องส่งต่อไปยังเด็กคนต่อไป ๆ ดูแล้วทำให้นึกถึงวัยเด็กตอนที่เรามีของเล่น แล้วพอเราเริ่มโตก็เอาเก็บไว้ในกล่องมั่ง แต่เรื่องนี้มันเป็นมุมมองของของเล่นที่มองกลับมาที่คน ซึ่งเขียนบทได้สุดยอด จนถึงวันนึง เด็กมันต้องโต มันก็ต้องไปทำอย่างอื่น เราก็ดูว่ามันจะจบยังไง มันก็จบได้ดีมาก เป็นหนังที่ดูแล้วมันซึ้ง กินใจ เป็นหนังแอนิเมชั่นที่เด็กดูก็สนุก โดยภาพ โดยสีสัน ผู้ใหญ่ดูก็ถึงกับอึ้งเหมือนกัน ขนาดเราพากย์เองเรายัง โอ้โห! น้ำตาไหลน่ะ มันเป็นหนังสามภาคที่ตัวละครชัดเจนและมีเสน่ห์ทุกตัว อย่างตัวที่พี่พากย์ก็เป็น 'บัซ ไลท์เยียร์' ซึ่งเป็นของเล่นใหม่ แต่ว่าตัวเอกจริง ๆ ก็คือ 'วู้ดดี้' ซึ่งเป็นตุ๊กตาคาวบอย มันเป็นหนังที่ดูได้ทุกเจนเนอเรชั่น และสามารถเอามาดูได้เรี่อย ๆ ดูได้ตั้งแต่เด็กจนโต น่าจะเป็นอมตะเรื่องนึงเลย น่าจะอยู่ได้อีกนาน ดูได้อีกนาน Pixar ทำให้การ์ตูนไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน ใช่ อย่างเรื่อง Cars เนี่ย ก็บทดีมากเลย ตอนแรกดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร อ๋อ มันตัดถนนผ่านตรงนี้ก็เลยไม่มีคนมาใช้ สุดท้ายมันก็เลยร้างไปหมด แล้วก็มีนางเอกมาอธิบายว่า แต่ก่อนถนนมันไม่ได้ตัดอย่างนี้ ถนนมันตัดไปตามภูมิประเทศ เจอภูเขาก็ไปตามภูเขา เลี้ยวหลบภูเขา คนเราเดินทางเนี่ย ไม่ได้คิดว่าจะต้องถึงที่หมายเร็ว คนเดินทางเนี่ย เขาแค่อยากได้เดินทาง มันมีมุมมองอะไรดี ๆ แล้วพอมาตัดถนนย่นไปแค่สองนาทีตรงนี้ก็กลายเป็นที่รกร้างไป แล้วพระเอกก็เป็นรถแข่งที่หลงมา เออ! มันช่างคิดนะ คิดได้ยังไง เรื่องนี้ก็ชอบ ให้ลูกดูบ่อย เรื่อง Up ก็โห! ดูแล้วจะร้องไห้ เขียนบทดีมาก เผลอ ๆ บทดีกว่าหนังคนเล่นอีกนะ รู้มาว่าเขาเอาบทมาเทสต์กันครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะทำออกมาเป็นเรื่องได้ ที่พูดมานี่มีแต่หนังต่างประเทศหมดเลยนะครับ ไม่ชอบดูหนังไทยบ้างเหรอครับ หนังไทยมันก็มี แต่พอไปเทียบกัน มันก็ต้องเป็นอีกโจทย์นึงเลยไง เป็น "หนังไทยในดวงใจ" (หัวเราะ) ก็โอเค แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย มันก็เป็นเรื่องราวที่เราคุ้นเคยไง มีหลายเรื่องที่เป็นหนังที่ดี แต่ถ้าจะให้เป็นที่สุดในดวงใจมันก็ยังไม่ได้น่ะ แต่ถ้าถามว่าหนังไทยในดวงใจ สิบเรื่อง อันนี้ก็มี แต่ถ้าถามว่า 'หนัง' ก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ หนังไทยก็มี แต่กลัวบอกไปแล้วไม่ทั่วถึง เดี๋ยวจะหาว่ารักผู้กำกับคนนี้มากกว่า ก็เลยไม่พูดซะเลย ต้องบอกอย่างงี้ (หัวเราะ) เลือกมาเรื่องสองเรื่องเดี๋ยวทำไมเรื่องนั้นไม่เอา เรื่องนี้ไม่ชอบเหรอ เดี๋ยวจะน้อยใจกัน (หัวเราะ) เวลาพี่หนุ่มเข้าไปดูหนัง หนังพาพี่หนุ่มไปไหนบ้างครับ ก็แล้วแต่หนัง บางทีดูหนังแล้วออกมา อยากจะมีชีวิตต่อ ดูออกมาแล้ว เออ! ชีวิตมีความสุขเว้ย! ต้องอยู่ไปอีกนาน ๆ เว้ย! บางเรื่องออกมาแล้วก็หดหู่ บางเรื่องออกมาแล้วอิ่มเอมใจ บางเรื่องออกมาแล้วสนุก มันส์ ดู Transformers มาแล้วมันส์จริง ๆ แต่เดี๋ยวก็ลืมไป แต่หนังที่มันอยู่นานคือหนังที่ดูแล้วมันประทับใจ อย่าง Dog Day Afternoon มันก็ยังฝังอยู่ในใจเราจนตอนนี้ ว่าคนเรามันก็แค่นี้ เรื่องแบบนี้มันสามารถเกิดกับใครก็ได้ แม้แต่กับตัวเราเอง สุดท้าย หนังให้อะไรกับพี่หนุ่มบ้างครับ ก็เยอะ อย่างแรกก็คือให้ความเพลิดเพลิน เหมือนกับเราได้นั่งดูชีวิตคนโน้นคนนี้ โดยเฉพาะหนังที่เขาทำประณีต ๆ เนี่ย ดูแล้วมัน เออ! ดูเรื่องนี้เหมือนได้ไปเที่ยวอเมริกาเลย ดูร้านกาแฟที่นิวยอร์ก มันได้ผ่อนคลาย ส่วนใหญ่หนังจะให้ความสนุก หนังช่วงหลัง ๆ มามันยังไม่ค่อยมีข้อคิดที่สอนใจอะไรเหมือนหนังสมัยเก่่า ๆ มันก็จะได้ความสนุก ความตื่นเต้น เฮ้ย! มันมีอย่างนี้จริง ๆ เหรอ? อย่างดู Inception มันเป็นไปได้เหรอ! หนังช่วงหลัง ๆ มันจะเป็นอย่างนี้ ข้อคิดมันก็ยังมีอยู่นะ แต่ดูหนังฝรั่งมันเอามาใช้ไม่ค่อยได้ เพราะมันคนละสังคม คนละวัฒนธรรมกับเรา พ่อแม่เขาก็ไม่ได้อยู่กับลูก ครอบครัวโตขึ้นมันก็แยกกันอยู่ เราก็คงจะเอาอะไรมาใช้มากไม่ได้ สำหรับพี่นี่ หนังน่าจะเป็นเรื่องให้ความบันเทิงให้ความผ่อนคลายเสียเป็นส่วนใหญ่

    อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ 10 หนังประทับใจ สันติสุข พรหมศิริ