โอยย..ค่อก..แค๊กๆ สวัสดีครับผมนาย
Tendama มาทักทาย เพื่อนๆชาวคอดู
หนังทุกคนอีกครั้ง ช่วงนี้อากาศร้อนๆ เย็นๆ แปลกๆ ทำให้ผมไม่สบายจนได้ และช่วงที่ไม่สบายสหายรักหลายต่อหลายคน พยายามลากให้ ผมออกไปเปิดตาดู
อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอน เจ้าชายแคสเปี้ยน ให้จงได้ และแล้ว ผมทนต่อการปลุกรุกเร้าของเหล่าสหายทั้งหลายไม่ไหว เลยหอบไข้ พร้อมกับเผชิญความร้อนๆหนาวๆในตัวไปดูซะเลยเอาให้มันตายไปข้าง และจะได้มาเล่าบอกต่อเพื่อนๆได้ยังไงครับ แค่ก..ๆ
The Chronicles of Narnia: Prince Caspian ภาคต่อภาคที่สอง ของภาพยนตร์แฟนตาซีสุดอลังการจากนวนิยายขายดีของ
C.S. Lewis มาในภาคนี้ เจ้าชายแคสเปี้ยน (
Ben Barnes) ได้มีบทบาทหลักในการนำเรื่องราวความสนุกตื่นเต้นผจญภัยมาให้กับเด็กๆทั้งสี่คนที่ต้องไปช่วยกอบกู้ดินแดนแห่งนาร์เนียอีกครั้ง
หลังจากในภาคแรกที่พวกเขาทั้งสี่ได้เข้าไปค้นพบโลกแห่งนาร์เนียโดยผ่านตู้เสื้อผ้าและปราบแม่มดขาวได้สำเร็จ มาคราวนี้ชาวนาร์เนียได้เรียกให้พวกเขาทั้งสี่กลับไปอย่างที่ไม่ได้ตั้งตัว เพื่อไปช่วยป้องกันจากการบุกและทำลายนาร์เนียให้สิ้นซากโดยชาวเทลมารีน ซึ่งคือพวกมนุษย์นั่นเอง
ในภาคนี้ยังคงได้ผู้กำกับคนเดิมจากนาร์เนียภาคที่แล้วมากำกับซึ่งก็คือ
Andrew Adamson ซึ่งเคยกำกับ
หนังเรื่อง
Shrek, Shrek 2 มาแล้ว โดยในตัวหนังนั้นมีทั้งความสนุก และตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความตึงเครียดและการต่อสู้สงครามดูรุนแรงและป่าเถื่อนยิ่งกว่าเดิม อารมณ์ของภาคนี้จึงดูแตกต่างจากภาคที่แล้วค่อนข้างมาก ในฉากสงครามมีความอลังการในการสร้างกองทัพนับหมื่นที่สวยงาม ทำให้นึกถึงหนังมหากาพย์อย่าง
The Lord of the Rings ได้เลยทีเดียว
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้มีหลายอย่าง เช่น CG ที่ทำได้เนียนและสวยงามยิ่งกว่าเดิม บทที่ดูเฉือนคมและอีกทั้งยังตลกอย่างมีอรรถรสที่พองามและพอดี เพลงประกอบตอนท้ายเรื่องทำให้แอบซึ้งได้มากเลยทีเดียว จุดบกพร่องที่อาจจะทำให้เบื่อซึ่งก็คือความยาวของหนังซึ่งนานถึง 140 กว่านาที
เนื่องจาก
The Chronicles of Narnia: Prince Caspian มีการเกริ่นเรื่องค่อนข้างนาน แต่นั่นคืออารมณ์ที่ผมคิดว่าผู้กำกับต้องการเกริ่นความเปลี่ยนแปลงของนาร์เนียหลังจากภาคที่แล้วซึ่งผ่านไป 1,300 ปีนาร์เนียเท่ากับ 1 ปีของโลกปกติ ซึ่งผมคิดว่า ที่ต้องทำให้เชื่อว่ากาลเวลาผ่านไปยาวนาน เพราะจะได้ทำให้มีสิ่งที่น่าค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เด็กๆทั้งสี่คนไม่อยู่นั่นเอง โดยรวมแล้ว
The Chronicles of Narnia: Prince Caspian เป็นหนังภาคต่อแฟนตาซีครอบครัวที่ดูสนุกมากกว่าภาคแรก และไม่ควรพลาดสำหรับคนที่รอลุ้นดูหนังอย่างเดียว และไม่ได้อ่านหนังสือ
แต่ถ้าเป็นมุมมองของคนอ่านหนังสือที่ผ่านมาพร้อมกับการดูของหนังเรื่อง
The Chronicles of Narnia: Prince Caspian ในภาคนี้หลายคนคงบ่นอุบกันว่าหนังจะไม่โดนใจเท่าไหร่ เพราะ ถ้าใครลึกซึ้งกับหนังสือตอนนี้ผมบอกได้เลยว่า คุณจะรู้สึกว่ามันไม่เคารพ ฐานเรื่องเดิมและดูเหมือนว่ามันจะตัดเอาเหตุการณ์ที่สำคัญ จากหนังสือมากกว่าจะเอาเรื่องราวที่ปะติดปะต่อของเรื่องมาเล่าในเรื่อง
ข้อเสียอย่างนึงคือ หนังมีปัญหาเรื่องความปะติดปะต่ออยู่หลายช่วง เนื้อหาบางอย่างที่หนังสืออธิบายออกมาอย่างสวย กลับถูกหนังเล่าออกมาแบบตัดรอนให้สั้นลง เหมือนกับว่าบางอย่างที่เราคุ้นเคยจู่ๆก็หายไปอย่างดื้อๆ (เช่นความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นต้น ภาคนี้เหือดแห้งหายไปเลย) อีกเรื่องคือเรื่องตัวละคร
ผมว่าค่อนข้างมีปัญหามากๆครับ สำหรับตัวละคร 4 พี่น้อง Pevensie ที่คราวนี้เหมือนกลับมาได้อย่างไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ ถึงจะโตขึ้นจากเดิมและทัศนคติจะเปลี่ยนไปก็ตาม แต่ไม่ผมไม่รู้สึกว่า พวกเขาทั้ง 4 คนเป็น พี่น้อง Pevensie ที่เรารู้จักจากหนังสือหรือหนังภาคแรก ทำให้เกิดอารมณ์ไม่สามารถเข้าถึงพวกเขาในครั้งนี้นักเท่าไหร่ เพราะหนังสือภาคนี้ดีกว่าตัวหนังและทำให้เรามีจินตนาการมากกว่าจริงๆ
สรุปหนัง The Chronicles of Narnia: Prince Caspian เป็นหนังที่พูดได้เลยว่าทำออกมาได้ดีแต่ดีไม่สุดใจ บางคนอาจจะไปเทียบกับหนังแฟนตาซีใหญ่ๆ หลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
The Lord of the Rings หรือ
The Golden Compass ว่า
The Chronicles of Narnia: Prince Caspian จะเหนือกว่าไหม ผมจะบอกว่าถ้าเรื่องเอฟเฟกต์ต่างๆ ภายในเรื่องถือว่า เยี่ยมยอดสวยงาม เพลงประกอบไพเราะอย่างยิ่งสู้ได้อย่างสมเกียรติ
แต่ผมจะไม่เทียบกับตัวบท เพราะหนังมันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ตำนานนาเนียร์มันมีเสน่ห์ของตัวหนังอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเทียบกับหนังเรื่องอื่นให้เครียดสมองหรอกครับ คำว่าแฟนตาซีคือทำให้เราหลุดอยู่ในโลกจินตนาการที่สวยงามแต่มีพลังในความผลักดันความคิดสรรค์สร้างที่สร้างสรรค์ และภาคนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าหนังทำออกมาได้คุ้มค่าจริง
อาจผิดหวังบ้างสำหรับคอหนังสือ แต่คงถูกใจกับคอหนังที่ไม่ได้อ่านหนังสือเป็นแน่ 4 ดาว กับหนังเรื่องนี้ครับ
" บทวิจารณ์ภาพยนตร์เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล กรุณาตัดสินจากการชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง "
วิจารณ์ภาพยนตร์
โดย Tendama