วิจารณ์หนัง ความสุขของกะทิ

วิจารณ์หนัง ความสุขของกะทิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สวัสดีปีใหม่ครับชาวคอหนังทุกคน ก่อนอื่นคงต้องขอโทษที่ผมห่างหายไปแบบไร้ร่องรอยจนใครหลายคนอาจจำไม่ได้เลยว่าเคยอ่านบทวิจารณ์ของผู้เขียนที่ชื่อ นายมูฟวี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 แล้วครับที่ผมได้เขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากแรงแห่งศรัทธาในอาชีพนักเขียนมันผุดขึ้นอยู่ในใจตลอดเวลา และผมมีความสุขที่ได้สร้างสรรค์ตัวอักษรเพื่อให้มวลชนได้เสพ

วันไหน ๆ หัวใจก็มีความสุข (ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกันนะ) ประโยคข้อความเล็ก ๆ บนโปสเตอร์ใบใหญ่ยักษ์ พร้อมด้วยหน้าตาเด็กหญิงวัยใส ยิ้มแย้ม แววตาบ่งบอกถึงความสุขในแบบฉบับปิ่นโตที่บรรจุไว้ทุกชั้น ความสุขของกะทิ โดย กลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์น้องใหม่ ภาพยนตร์ชูใจ ผลงานกำกับของ เจนไวย์ ทองดีนอก ผลงานภาพยนตร์ที่ใครหลาย ๆ คนอาจคุ้นเคยกับชื่อเรื่องที่คุ้นหู จากสุดยอด นวนิยายเรื่องสั้นรางวัลซีไรท์ปี 2549 ผลงานเขียนของ คุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ที่สร้างความสนุกบนหน้าหนังสือที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนหลงรักมาแล้ว

วันนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรอยยิ้มต้อนรับ วันเด็กแห่งชาติ ของขวัญที่ทำเอาผู้ใหญ่บางคนถึงกลับหลั่งน้ำตาแห่งภาพความประทับใจของหนูน้อย กะทิ รับบทโดย น้องพลอย ภัสสร คงมีสุข นักแสดงวัยใสที่ทำเอาผมหลงรักในความน่ารักของเธอตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่านี่จะเป็นการแสดงของเธอครั้งแรก การถ่ายทอดความเป็น กะทิ ในฉบับภาพยนตร์ อาจจะดูเรียบง่าย ธรรมดา แต่ในความเรียบง่ายกลับทำให้ผม และคอหนังบางคนร่วมเข้าสู่วัยเด็กอีกครั้ง วัยที่ต้องการความเอาใจ ความอยากรู้ และการเก็บงำความรู้สึกลึก ๆ ต่อโชคชะตาที่อาจจะต้องสูญเสียคนที่รัก แต่ในความมืดมนก็มักจะมีแสงแห่งความสุขจากคนที่รักเราเช่นกัน

ด้วยเรื่องราวชวนอบอุ่นในความรักที่เกิดจากผู้เป็นตา และยายที่โอบอุ้มเด็กน้อยที่ปราศจากความใกล้ชิดจากแม่ พ่อ ด้วยเหตุ และผลที่ใครก็มิอาจล่วงรู้ แต่ความรู้สึกของเด็กหลาย ๆ คนอาจเฝ้าแต่ตั้งคำถามว่า แม่ไปไหน แม่จะกลับมาเมื่อไหร่ อีกสารพัด เพราะเด็กคือ พลังบริสุทธิ์ที่ต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วยความรัก มากกว่าการป้อนความรักที่ไม่เคยเอ่ยถาม กะทิ จึงเป็นตัวละครที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ คำถามที่เฝ้าเวียนวน แต่ไม่เคยได้เอ่ย อาจด้วยเพราะสภาพแวดล้อมแห่งบ้านหลังนี้ ธรรมชาติที่ปกคลุมให้ได้รับไออุ่น ท้องนาสีเขียวขจี และการถูกเรียกหาทุกเช้าจากยาย เพื่อให้ทำกิจวัตร ตักบาตร ตามแบบวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ซึมซับจนกลายเป็นเกราะภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และนี่คือ ความรัก ที่ กะทิ ได้รับ แต่ในอีกมุมหนึ่งเด็ก อาจต้องการบอกสิ่งที่อยู่ในใจนั่นคือ การได้เจอแม่ผู้เป็นที่รัก รับบทโดย รัชนก แสงชูโต ที่แสดงได้ถึงอารมณ์ความรักของแม่ ยิ่งภาพลูกนอนหนุนตัก แต่แม่ไม่สามารถแม้แต่เอื้อมมือสัมผัสลูก ทำได้เพียงส่งสายตาที่ปริ่ม พร้อมเอ่อล้นด้วยความรัก ยิ่งเห็นแล้วน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มจนผมต้องเบือนหน้าหนีใช่ว่าความประทับใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นความสดใส น่ารักของ หนูน้อย กะทิ เท่านั้น

แต่คนรอบกายที่ร่ายล้อม คุณตา ที่เสมือนเป็นดั่งแสงอาทิตย์คอยสาดส่องทุกอณูของหัวใจให้เด็กหญิงเข้มแข็ง รับบทโดย สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ นักแสดงรุ่นเก๋าที่ฝีมือฉกาจหาตัวจับยากท่านหนึ่ง การถ่ายทอดความรักระหว่างตากับหลาน ทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นได้อย่างสุขใจ ผสมผสานกับคำพูดที่ชวนให้อมยิ้ม อย่าง ตอนที่ตาบอกหลานว่า สงสัยคุณยายหวงยิ้มไว้อัดกระป๋องส่งนอก เป็นประโยคเด็ดที่ทำเอาคอหนังทั้งหลายอมยิ้มทุกครั้งเมื่อได้ฟัง ไหน ๆ ก็พูดถึงคุณตาไปแล้ว ก็ขอข้ามฝากมาที่คุณยาย แสนเจ้าระเบียบ แต่ฝีมือการทำอาหารไม่เป็นรองใคร แม้ภายนอกจะดูดุ เจ้าระเบียบ แต่ภายในกลับมีสายใยความรักที่พร้อมอ้าแขนรองรับหลานสาวได้อย่างน่าชื่นชม รับบทโดย จารุวรรณ ปัญโญภาส พร้อมด้วย ทอง น้าฏา น้ากันต์ และลุงตอง เหล่าตัวละครที่สร้างสีสันให้เด่นชัดขึ้น น่าแปลกนะครับ ผมชอบความอบอุ่นแบบครอบครัวที่ผูกมัดด้วยความรัก สายใยที่พันผูกจนของมีคมชนิดใดก็ไม่อาจตัดสายใยนี้ให้ขาดได้

ความเรียบง่ายของฉาก ภาพบรรยากาศบ้านทรงไทย ทุ่งหน้าสองข้างทาง หรือแม้กระทั่งศาลาริมน้ำ ต้องบอกได้เลยว่า นี่คือธรรมชาติในชนบทที่ยังคงอุดมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี บอกได้คำเดียวว่า เลือกสถานที่ได้ตรงกับตัวของ กะทิ จริง ๆ การดำเนินเรื่องค่อนข้างเป็นไปอย่างช้า ๆ วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นชนบท ไม่ฟุ้มเฟ้อ ความสุขที่ก่อตัวเกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ อาจจะติดขัดในบางฉากดูแล้วอาจขัดตาสักเล็กน้อย เพราะไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ จุดนี้จึงทำให้อรรถรสบางตอนดูแล้วไม่ลื่นไหล ความพอดีของเนื้อเรื่อง หากใครหลายต่อหลายคนได้อ่านในแบบฉบับหนังสือมาก่อนหน้านี้ อาจผิดหวังเล็กน้อยในส่วนของตัว กะทิ ซึ่งในหนังสือ กะทิเป็นเด็กร่าเริงสดใส แม้จะมีคำถามเวียนวนภายในใจ แต่ความสุขก็มีได้ในตามวิถีทางที่เป็น นี่จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายในการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ เพราะต้องทำอย่างไรกับคนดูที่ได้อ่านเนื้อเรื่องจากหนังสือ และคนที่ยังไม่เคยได้อ่านให้เกิดความประทับใจได้

แต่โดยรวม ๆ แล้วยังทำออกมาได้ดี ความเรียบง่าย แสนธรรมดา กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ใหญ่บางคนได้กลับไปหวนคิด คำนึงในความรู้สึกของเหล่าเด็กตัวน้อย ความใสซื่อบริสุทธิ์มักจะถูกฉาบไปด้วยความรัก ความปรารถนาดี แต่บางครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ต้องเปิดหัวใจและรับฟังเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ดูบ้าง เพราะความสุขเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแม้จะอยู่บนพื้นที่แห่งใดในโลกใบนี้ สิ่งที่สำคัญคือ การเอียงหู แล้วถามกลับไปว่า วันนี้หนูมีความสุขแล้วหรือยัง (ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ ) "ไม่ว่าจะยืนอยู่มุมไหนบนโลกใบนี้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้มองพระจันทร์ดวงเดียวกัน" โดย นายมูฟวี่ (tantikowit@sanook.com)

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง ความสุขของกะทิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook