วิจารณ์หนัง อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง

วิจารณ์หนัง อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ผมเคยเขียนถึงหนังเรื่องหนึ่งของอาบัณฑิต (บัณฑิต ฤทธิ์ถกล) ไปแล้ว นั่นคือเรื่อง บุญชู ไอเลิฟสระอู ตอนนั้นผมเคยยกย่องว่าหนังเรื่อง บุญชู เป็นหนังในตำนานเรื่องหนึ่งของวงการหนังไทยบ้านเราเลยทีเดียว เหตุเพราะว่ามีการสร้างออกมาหลายภาพแล้ว และคงไม่ว่าอะไรผมนะครับ ที่ผมจะบอกว่า ภาพยนตร์ในเวอร์ชั่น "อนึ่ง" ก็เป็นหนังในตำนานของไทยอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าเคยมีการสร้างมา 2 ภาคแล้ว และถ้ารวมภาค อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง นี้ด้วยแล้ว ก็ถือว่าเป็นภาคที่ 3 แล้วของหนังเวอร์ชั่น อนึ่ง หนังในเวอร์ชั่น "อนึ่ง" จะเป็นหนังในแนวที่ว่า นักเรียนที่จบการศึกษาจากสถาบันแห่งหนึ่งไปแล้ว แต่ย้อนกลับมารำลึกนึกถึงสถาบันที่เขาเคยเรียนอยู่ จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอนไม่ซ้ำกัน อย่างเช่นในภาคล่าสุดนี้ (อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง) ก็จะเป็นเหตุการณ์ที่โรงเรียนเก่าของพวกเขากำลังจะถูกรื้อทิ้ง เพื่อทำเป็นศูนย์การค้า เพราะฉะนั้นในแต่ละตอนจึงไม่ต่อกัน เป็นคนละกลุ่ม คนละพวก คนละโรงเรียนกัน ในหนังเรื่อง อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป ซึ่งเป็นภาคแรกของหนังเวอร์ชั่น อนึ่ง คุณอาบัณฑิตทำได้ดีมาก ตัวหนังสนุกและซึ้งกินใจดีครับ ส่วนใน อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป ภาค 2 ความสนุกและซึ้งลดทอนลงมานิดหน่อย เรียกว่าสนุกสู้ภาคแรกไม่ได้ ส่วนในภาค 3 นี้ อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง ตัวหนังบอกตามตรงไม่ค่อยมีอะไรเลย จะว่าตลกก็ยังไม่ตลกเท่าไหร่ จะว่าอบอุ่นก็ยังไม่ได้ จะว่าซาบซึ้งก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ดูแล้วมันขาดๆ ยังไงไม่รู้ แบบไม่ค่อยมีฉากที่ทำให้เราถวิลหาความทรงจำเก่าๆ ออกมาได้ ความสมเหตุสมผลในเวอร์ชั่นนี้ขาดหายไปหลายจุดเลยทีเดียว ตอนที่ผมไปดูในโรง ผมก็แอบหวังไว้เล็กๆ นะครับว่าน่าจะสนุก พยายามทำใจให้เป็นส่วนหนึ่งของหนัง พยายามทำใจว่า โรงเรียนแห่งนั้น (ในหนัง) เป็นโรงเรียนเก่าของผมจริงๆ แล้วมันก็กำลังจะถูกรื้อถูกทำลาย ผมจะได้อินไปกับเนื้อเรื่อง แต่ในตัวหนังกลับสื่อในเชิงเรื่องการทะเลาะกันของเด็กสายวิทย์ กับเด็กสายศิลป์ มากกว่า ฉากที่จะถวิลหาอาวรณ์ห่วงหาในความทรงจำเก่าๆ ที่จะทำให้เรารักโรงเรียนแห่งนี้ แทบไม่มีเลยครับ ยิ่งดูไปนานๆ แล้ว ก็มานั่งสงสัย เอ๊ะ...เรามานั่งทำอะไรอยู่นี่ พยายามนึกว่า ถ้าโรงเรียนเก่าเรากำลังจะถูกรื้อ เราจะไปตั้งเต็นท์นอนหรือนั่งมองโรงเรียนเป็นครั้งสุดท้ายไหม? ความสมเหตุสมผลหายไปหลายจุดมาก ยกตัวอย่างเช่น แปลงผักหรือแปลงดอกไม้ที่ดูแห้งแล้งมาก ต้นไม้ตายคาแปลงอย่างนั้นแสดงว่าขาดการดูแลเอาใจใส่มาเป็นเวลานานนับหลายเดือนแล้ว ปกติต้นไม้ถ้าขาดการดูแลจริงๆ มันก็ยังคงอยู่ได้ทนหลายเดือนเหมือนกันกว่ามันจะตายจริงและแห้งอย่างในหนัง ยิ่งถ้าดินบริเวณนั้นเป็นดินดี มันก็ยากนักที่จะตาย สรุปแล้วดูจากส่วนนี้โรงเรียนน่าจะปิดตัวไปนานแล้ว ด้วยเหตุผลของเนื้อเรื่องในหนัง ทางโรงเรียนขาดทุนเป็นเงินก้อนโต (หลักหลายๆ ล้าน) อยู่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทางโรงเรียนไม่มีเงินในส่วนที่จะมาบริหารโรงเรียนอีกแล้ว เพราะฉะนั้นน้ำและไฟฟ้าที่ใช้ในโรงเรียนน่าจะถูกตัดไปนานแล้ว แต่นี่อะไร มีไฟฟ้าใช้ มีน้ำอาบกันเฉยเลย ผมมีเพื่อนเป็นผู้รับเหมารื้ออาคารอยู่ เลยลองไปถามเขาดู ก็ได้คำตอบว่า ส่วนมากแล้วไฟฟ้าและน้ำประปาที่เขาไปรื้ออาคารมา จะถูกตัดหมดแล้ว ถ้าเขาต้องการใช้ไฟฟ้า ก็ต้องนำเครื่องปั่นไฟไปทำไฟเอง หรือตอนที่พนักงานรื้ออาคาร โยนพวกเศษวัตถุต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้วออกมาทางหน้าต่างนั้น พวกศิษย์เก่ายืนอาลัยอาวรณ์อยู่ แล้วฉากก็ตัดไปที่ครูอุ๋ม (รัชวิน วงศ์วิริยะ) ไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่หรือคุณครูในที่แห่งหนึ่ง ถึงเรื่องหนี้สินของโรงเรียน จากนั้นครูอุ๋มก็มาปรึกษาพวกที่โรงเรียน แล้วก็ได้ข้อเสนอว่าไปหารุ่นพี่ที่รวยที่สุดให้เขาช่วย ผมว่าถ้าเป็นเรื่องจริง คงไม่มีเวลามาทำเรื่องพวกนี้เป็นแน่ โรงเรียนคงถูกรื้อไปตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งตอนไปคุยกับรุ่นพี่ที่รวยที่สุดคนนั้นแล้ว ผมเดาเนื้อเรื่องตอนจบได้เลยว่า คนนี้ต้องมาช่วยในตอนหลังอย่างฉิวเฉียดเป็นแน่ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ปลาที่เหลือรอดตัวเดียวก็อีก จริงๆ แล้วมันโดนปลาช่อนกินไปหมดทั้งบ่อแล้วไม่ใช่หรือ เอ้า..สมมุติว่ามีคนเอามาปล่อยใหม่ แต่โรงเรียนร้างไปขนาดนั้นแล้ว ปลาตัวนั้นมันจะกินอะไร ใครจะเอาอาหารไปให้มัน เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ตามแหล่งแม่น้ำที่จะสามารถหาอาหารเองได้ มันอยู่ในบ่อแคบๆเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าปลาตัวนี้โชคดีก็แล้วกัน มียุงมาวางไข่ให้กินลูกน้ำบ่อยๆ ก็เลยรอดชีวิตมาได้ คงจะเป็นอย่างนั้น ในเรื่องของเพลงประกอบและการถ่ายภาพนั้น ไม่มีภาพถ่ายฉากไหนสวยหรือประทับใจเลย ฉากถ่ายไปเรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่อง เพลงประกอบ ที่เอาเพลง "เราและนาย" (ของเสก-โลโซ) มาประกอบ ตอนที่พังในหนังตัวอย่างก็ดูดีครับ แต่พอไปฟังในหนังจริง มันทำไมไม่รู้สึกอินกับเนื้อเพลงและภาพที่ฉายอยู่หน้าจอเลย เหมือนมันไม่ช่วยอะไรเลย อีกเพลง "กว่าจะรัก" ของวง XYZ ที่เอากีต้าร์มาเล่นกันก็โดนเสียงคุยกลบหมด ส่วนในเวอร์ชั่นจริงก็เปิดตอนหนังจบแล้วเท่านั้น เสียดายเพลงนี้จัง ฉายที่ดูตลกที่สุดในเรื่องนี้ก็คงเป็นตอนที่เล่นผีเหรียญ ที่เรียกวิญญาณของพี่มะลิมา แต่ผีพี่มะลิดูยังไงตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่เหมือนนักเรียน เลยเหมือนชาวต่างด้าวที่อพยพเข้าเมืองมากกว่า เข้าใจว่าฉากนี้คงจะเน้นมุกตลกอย่างเดียว ในเรื่องของนักแสดงซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมดก็ยังเล่นแข็งๆอยู่ น้องอาร์ตี้ (ธนฉัตร ตุลยฉัตร) ที่แสดงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 แล้ว ในเรื่องนี้ดูแล้วโทรมๆ ยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะน้องอาร์ตี้ผอมเกินไปหรือเปล่า แล้วไว้หนวดอ่อนๆ บนใบหน้าก็เลยดูเป็นแบบนั้น บทก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ มีเด่นที่สุดของอาร์ตี้ก็คงเป็นตอนปีนอาคารขึ้นไปแย่งธงกันนั่นแหละ (อันนี้ก็เดาออกว่าต้องเสมอกันแน่) ส่วนคนที่แย่งซีนสุดๆ เห็นจะเป็น น้องข้าวฟ่าง (สมประสงค์ ศรีบัว) ที่แสดงเป็น ย่าเหล การแสดงก็ดีนะครับ แต่ดูแล้วเหมือนเด็กไม่ค่อยเต็ม ไม่รู้จบ ม.6 มาได้ไง ในฉากสุดท้ายที่มีการพังโรงเรียน ฉากนี้น่าจะเป็นฉากที่ซึ้งที่สุด ก่อนหน้าฉากนี้จะเป็นฉากที่ศิษย์เก่าช่วยกันตามรุ่นพี่เก่าๆ ที่จบไปจากโรงเรียนนี้ มาเพื่อจัดงานระดมทุน (ดูหรูนะครับ เอาเงินที่ไหนมาจัด) ในฉากที่กำลังพังโรงเรียน ศิษย์เก่าที่มีทุกสายอาชีพออกมายืนดูแล้วร้องเพลงประจำโรงเรียนดูแล้วน่าจะเป็นฉากที่จะทำให้คนดูขนลุกได้สุด แต่ก็มีให้ดูแค่นิดเดียวกำลังจะซึ้งฉากตัดไปซะแเล้ว อีกอย่างไม่เข้าใจที่โต้งเข้าไปชกหน้าคนที่มาช่วยซื้อโรงเรียนให้ทำไม? แทนที่จะเข้าไปขอโทษที่เข้าใจเขาผิดมาตลอด เป็นงง! หนังเรื่องนี้ ผมว่าถ้าใครเคยเจออย่างในหนังจริงๆ แบบโรงเรียนที่เคยเรียนมาไม่มีอยู่ในโลกแห่งนี้แล้ว หรือกำลังจะถูกรื้อไปจริงๆ ก็คงจะอินไปกับหนังเรื่องนี้มาก แต่สำหรับใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์ที่โรงเรียนเก่าถูกรื้ออย่างในหนัง ผมก็ว่ายากแก่การมีอารมณ์ร่วมไปกับในหนังเป็นอย่างมาก เรียกว่าไม่ตลก ไม่อบอุ่น ไม่ซึ้ง แล้วก็อาจจะพาลให้น่าเบื่อเข้าไปอีกด้วย แล้วพวกคุณล่ะ ดูแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ

บทวิจารณ์โดย TCK E-mail : TCK05@sanook.com

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook