จาก 1 ถึง 100 ผลงานการแสดงของ เฉินหลง บนโลกภาพยนตร์

จาก 1 ถึง 100 ผลงานการแสดงของ เฉินหลง บนโลกภาพยนตร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook


เฉินหลง


เฉินหลง อยู่ในวงการมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 และยังเป็นนักแสดงเอเชียเพียงคนเดียวในปัจจุบัน ที่มีผลงานในฮอลลิวู้ดมานานกว่า 20 ปี โดยในปี 2011 ก็เป็นฤกษ์ดีสำหรับการแสดงหนังเรื่องที่ 100 ของเขาที่ชื่อ 1911 ซึ่งเป็นเรื่องราวในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า "การปฏิวัติซินไฮ่" ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่ตัวเองใฝ่ฝันว่าจะสร้างตั้งแต่เข้ามาในวงการ โดยเขารับหน้าที่ทั้งแสดงนำ / กำกับ / กำกับคิวบู๊ และอำนวยการสร้าง

วันนี้ เรามาย้อนกลับไปดูตั้งแต่เรื่องที่ 1 ถึง 100 ว่าภาพยนตร์เรื่องไหนบ้างที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของ เฉินหลง และทำให้เขากลายมาเป็นแอ็คชั่นสตาร์ดาวค้างฟ้าจนถึงปัจจุบัน


เรื่องที่ 1: Master With Cracked Fingers (1971) - มังกรหมัดเทวดา


ถึงแม้ เฉินหลง จะเข้าวงการในฐานะสตันท์แมนและตัวประกอบมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ Master With Cracked Fingers (มังกรหมัดเทวดา) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาแสดงนำ โดยเขารับบทเป็นเด็กหนุ่มที่ฝึกฝนวิขาการต่อสู้จากยาจกเฒ่า และก็ใช้มันเพื่อจัดการกับแก๊งค์เรียกค่าคุ้มครองในเมือง โดยนี่ถือเป็นบทบาทที่ฉายแววให้เห็นความสามารถของนักแสดงหนุ่ม ซึ่งในอีกสองปีต่อมาฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อ เฉินหลง ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนัง บรูซ ลี เรื่อง Enter the Dragon ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีการผิดคิวเมื่อ เฉินหลง ถูก บรูซ ลี เอาไม้ตีหน้าเข้าอย่างจัง ซึ่ง บรูซ ได้ขอโทษและสัญญาว่าจะให้ทำงานในหนังของเขาทุกเรื่อง แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะไม่นานหลังจากนั้น บรูซ ลี ก็ได้เสียชีวิตลง



เรื่องที่ 16: Drunken Master (1978) - ไอ้หนุ่มหมัดเมา


ทศวรรษที่ 70 ถือเป็นยุครุ่งเรืองของหนังกำลังภายในฮ่ององ แต่มีไม่กี่เรื่องที่โดดเด่น Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา) ถือเป็นหนึ่งในนั้น โดย เฉินหลง รับบทเป็น อาหวง ที่ก่อความวุ่นวายในหมู่บ้าน จนทำให้พ่อส่งไปบ่มนิสัยกับยาจกเฒ่า ซึ่งก็เป็นที่มาของฉากการฝึกวิชาสุดคลาสสิก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ เฉินหลง ยังไม่ได้พัฒนาการแสดงฉากแอ็คชั่นที่เป็นลายเซ็นของเขา แต่ในอีก 15 ปีต่อมาเขาก็แสดงในภาคต่อที่ชื่อ The Legend of Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา 2) ซึ่งก็ได้เพิ่มเติมมุขตลกเข้าไปมากมาย โดยไฮไลท์ตรงฉากต่อสู้สุดท้ายที่มีความยาวกว่า 20 นาที ซึ่งทำให้ทุกคนต้องรู้สึกทึ่ง



เรื่องที่ 28: Project A (1983) - เอไกหว่า


Project A (เอไกหว่า) เป็นจุดเริ่มต้นของ 3 พี่น้องร่วมสาบาน นั้นคือ เฉินหลง, หงจินเป่า และ หยวนเปียว ที่เล่าเรื่องนายตำรวจ (เฉินหลง) ที่เข้าไปพัวพันกับพวกโจรสลัดช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยหนังถูกจำรึกเอาไว้ว่ามีฉากสตันท์ที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่ง นั้นคือตอนที่ เฉินหลง ต้องห้อยอยู่บนหอนาฬิกา ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Safety Last! หนังคลาสสิกของ ฮาโรล์ด ลอยด์ Project A ได้รับความนิยมและทำให้ 3 พี่น้องร่วมสาบาน ได้ร่วมงานกันอย่างต่อเนื่องตลอดยุค 80 และ 90 ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อปี 1987 อย่าง Project A Part II (เอไกหว่า 2), Wheels on Meals (ขาตั้งสู้) และ Dragons Forever (มังกรหนวดทอง) โดย Project A ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทุกคนได้เห็นลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของ เฉินหลง ในการแสดงฉากแอ็คชั่นปนกับอารมณ์ขัน



เรื่องที่ 34: Police Story (1985) - วิ่งสู้ฟัด


เฉิน หลง ได้ก้าวเข้าสู่โลกของหนังแอ็คชั่นร่วมสมัยกับ Police Story (วิ่งสู้ฟัด) ซึ่งกลายเป็นแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขา โดยนี่คือหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัล Hong Kong Film Awards โดยเป็นเรื่องของนายตำรวจที่ต้องจัดการหัวหน้าแก๊งค์มาเฟีย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้ไปปลดปล่อยความมันกันในห้างสรรพสินค้า รวมถึงฉากเสี่ยงตายชื่อดังที่ เฉินหลง ต้องรูดลงจากเสาที่พันด้วยสายไฟฟ้า Police Story ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วทั้งเอเชีย มันทำให้มีภาค 2 ตามออกมาในปี 1987 ภาคสามในปี 1992 ที่เขารับบทนำคู่กับ มิเชล โหยว และภาคล่าสุดในปี 2004 อย่าง New Police Story (เหินสู้ฟัด) ที่ร่วมแสดงโดย เซียะถิงฟง และ แดเนียล วู



เรื่องที่ 38: The Armour of the Gods (1987) - ฟัดข้ามโลก ล่าสุดแผ่นดิน


The Armour of the Gods (ฟัดข้ามโลก ล่าสุดแผ่นดิน) คือหนังแอ็คชั่น-ผจญภัยเรื่องแรกของ เฉินหลง โดยเขารับบทเป็นนักล่าสมบัติในสไตล์ อินเดียน่า โจนส์ ที่ออกเดินทางตามหาดาบและชุดเกราะในตำนาน เพื่อช่วยอดีตแฟนสาวที่ถูกองค์กรชั่วลักพาตัว หนังเดินทางไปถ่ายทำถึงประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งเปิดโอกาสให้ เฉินหลง ได้เจอกับสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และนี่ก็ยังเป็นหนังที่เกือบทำให้เขาต้องลาโลก เมื่อฉากที่ เฉินหลง ต้องกระโดดไปเกาะต้นไม้ แต่เกิดผิดคิวพลาดตกลงมาหัวกระแทกหิน ทำให้กระโหลกร้าวและหูซ้ายสูญเสียการได้ยินไปส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามหนังก็ประสบความสำเร็จ และมีภาคต่อที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันอย่าง Armour of God II: Operation Condor (ฟัดข้ามโลก ล่าขุมทองนาซี) ที่ฉายในปี 1990



เรื่องที่ 51: Crime Story (1993) - วิ่งสู้ฟัด: ภาคพิเศษ


ถือ เป็นความแตกต่างจากสไตล์ถนัดของ เฉินหลง เมื่อ Crime Story (วิ่งสู้ฟัด : ภาคพิเศษ) เป็นหนังแอ็คชั่นตรงๆ ไม่มีตลกมาเจือปน โดยเรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากคดีลักพาตัวนักธุรกิจฮ่องกง ซึ่งนายตำรวจที่รับบทโดย เฉินหลง ต้องออกตามหาและช่วยเหลือกลับมาให้ได้ ถึงแม้หนังจะไม่ได้สร้างออกมาตามความต้องการของแฟนๆ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เฉินหลง สามารถแสดงหนังแอ็คชั่นเพียวๆได้อย่างยอดเยี่ยม และยังสามารถสร้างฉากเสี่ยงตายที่ตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะฉากการช่วยเหลือในตอนสุดท้าย ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในผลงานของ เฉินหลง ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีที่สุด



เรื่องที่ 54: Rumble in the Bronx (1995) - ใหญ่ฟัดโลก


Rumble in the Bronx (ใหญ่ฟัดโลก) ถือเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางสู่ฮอลลิวู้ดของ เฉินหลง เมื่อหนังที่ถ่ายทำในอเมริกาเรื่องนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อขึ้นอันดับหนึ่งตารางอันดับทำเงินในอาทิตย์แรก โดย เฉินหลง ปฏิเสธบทบาทตัวร้ายใน Demolition Man ของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เพื่อมารับบทเป็นตำรวจฮ่องกง ที่เดินทางร่วมงานแต่งงานในนิวยอร์ค แต่ก็ต้องพัวพันกับความขัดแย้งของแก๊งค์ท้องถิ่น หนังผสมผสานฉากแอ็คชั่นกับมุขตลกได้ตามแบบฉบับของ เฉินหลง และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมสำหรับการเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับนานาชาติ



เรื่องที่ 61: Rush Hour (1998) - คู่ใหญ่ ฟัดเต็มสปีด


Rush Hour คือแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ที่สุดของ เฉินหลง ผลงานของผู้กำกับ เบรทท์ แรทเนอร์ และส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าประหลาดระหว่าง เฉินหลง และ คริส ทัคเกอร์ เรื่องราวของตำรวจฮ่องกงที่เดินทางไปอเมริกา เพื่อสืบคดีการถูกลักพาตัวของทูตฮ่องกง และได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจท้องถิ่น (คริส ทัคเกอร์) หนังเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างและทำเงินทั่วโลกไปมากกว่า 244 ล้านเหรียญ จนทำให้มีภาค 2 ในปี 2001 ที่ตัวละครของ คริส ทัคเกอร์ เดินทางไปยังฮ่องกง (รายได้รวม 345 ล้านเหรียญ) และภาคล่าสุดในปี 2007 ที่ทั้งคู่ต้องผจญภัยในมหานครปารีส (รายได้รวม 257 ล้านเหรียญ)



เรื่องที่ 91: The Forbidden Kingdom (2008) - หนึ่งฟัดหนึ่ง ใหญ่ต่อใหญ่


ทั้ง เฉินหลง และ เจ็ท ลี พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำงานในฮอลลิวู้ด แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เข้ามาแสดงคู่กัน โดยหนังดัดแปลงจากนวนิยายไซอิ๋ว เมื่อเด็กหนุ่มชาวอเมริกันเดินทางข้ามเวลามายังประเทศจีนในอดีต และก็ต้องร่วมเดินทางกับยาจกขี้เมา (เฉินหลง) และนักพรต (เจ็ท ลี) ในการปลดปล่อย หงอคง เพื่อมาช่วยกำจัดจักรพรรดิหยก โดยนอกจากที่หนังประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้และเสียงวิจารณ์ มันก็ยังถูกจารึกว่า เฉินหลง และ เจ็ท ลี ต่อสู้กันในหนังเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้ความฝันของนักดูหนังทั่วโลกกลายเป็นจริง



เรื่องที่ 100: 1911 (2011)


1911 สร้างจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า "การปฏิวัติซินไฮ่" ซึ่งบทสรุปก็คือการสิ้นสุดระบอบศักดินาของราชวงค์ชิง และเป็นการเข้าสู่ระบบสาธารณรัฐของชาติจีน โดย เฉินหลง ได้ทำหน้าที่ทั้งกำกับ / อำนวยการสร้าง รวมถึงแสดงนำ โดยรับบทเป็น หวงซิ่น นายพลที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ เขาเผยถึงความรู้สึกที่ได้ทำหนังเรื่องที่ 100 นี้ว่า "ผม รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเกิดเป็นคนจีน ภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราต่อสู้เพื่อประชาชน และการปฏิวัติซินไฮ่ก็ถือเป็นจุดกำเนิดของจีนยุคใหม่ ผมคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง ชาวจีนอย่างเราถือว่าทุกตัวเลขล้วนมีความหมาย นี่คือโอกาสพิเศษเพราะเป็นการครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติซินไฮ่ และยังเป็นการที่ผมแสดงหนังครบ 100 เรื่องพอดีด้วย ผมคิดว่ามันคือสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ต้องทำหนังเรื่องนี้"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook