Elvis ชื่อเสียง สัญญาทาส และผลประโยชน์

Elvis ชื่อเสียง สัญญาทาส และผลประโยชน์

Elvis ชื่อเสียง สัญญาทาส และผลประโยชน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ “บาซ เลอห์มานน์” ที่มาพร้อมสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัว โดยครั้งนี้เขาเลือกจะหยิบชีวิตของไอคอนระดับตำนานอย่าง “เอลวิส เพรสลีย์” มานำเสนอในแง่ความเป็นตำนานที่แลกมาพร้อมกับความเจ็บปวดในชีวิต

การที่หนัง Elvis เปิดเรื่องราวมาด้วยคำบอกเล่าของ นายพันปาร์คเกอร์ (ทอม แฮงส์) ที่เขากำลังรักษาอาการป่วยของตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากที่เขาได้มองออกไปนอกหน้าต่าง อันเป็นวิวทิศทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองลาสเวกัส โดยมีแสงไฟที่ส่องสว่างไปยังตัวตึกโรงแรมอินเตอร์เนชันแนล ความหลังระหว่างเขากับเอลวิส เพรสลีย์ก็หวนคืนกลับมา

โมเมนต์ที่หนังเลือกจะย้อนกลับไปตั้งคำถาม คือช่วงเวลาที่เอลวิส เพรสลีย์ ล้มฟุบลงไปกับพื้นในสภาพอิดโรย ไร้เรี่ยวแรงก่อนจะขึ้นไปแสดงโชว์ในลาสเวกัส แต่แทนที่ปาร์คเกอร์จะมีท่าทีห่วงใย ถามอาการเจ็บป่วย แต่เขากลับสวมวิญญาณของนักธุรกิจและพูดจาอย่างเย็นชา ก่อนจะเรียกหมอประจำตัวของเอลวิสเพื่อฉีดยาบางอย่าง เพื่อวัตถุประสงค์เดียว “ทำอย่างไรก็ได้ให้เอลวิส สามารถขึ้นไปเปิดการแสดงได้ตามปกติ”

เสียงบรรยายของปาร์คเกอร์ในรูปแบบ Voice over เพื่อตั้งคำถามกับคนดูว่า “คุณคิดว่าผมเป็นตัวร้ายของเรื่องนี้หรือเปล่า” ก่อนจะ พาคนดูย้อนกลับไปในห้วงวัยเด็กของเอลวิส ว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวในรัฐมิสซิสซิปปี้ ประเทศอเมริกา แต่ในยามว่างเอลวิสมักจะชอบวิ่งไปดูคลับเต้นรำของคนผิวสี ที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับแนวดนตรีพื้นเมือง เครื่องเป่าอันหลากหลาย และสไตล์การขยับร่างกายไปกับจังหวะในแบบที่คนผิวดำชื่นชอบ ยังไม่รวมไปถึงการที่แม่ของเอลวิสมักจะพาเขาไปเข้าโบสถ์ในทุกสุดสัปดาห์ ทำให้เอลวิสได้ซึมซับแนวดนตรีการขับร้องประสานเสียงในโบสถ์ การคร่ำครวญบทเพลงเพื่อเชิดชูพระเจ้า จนเมื่อเขาสั่งสมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าไว้ในตัว และหลอมรวมให้สไตล์เหล่านี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

ทว่าสภาพครอบครัวของเอลวิส เพรสลีย์ ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ ความอัตคัด ขัดสนทางการเงินของครอบครัว อาจจะทำให้บ้านของเขาถูกยึด แน่นอนว่าเอลวิสรับรู้ปัญหาของครอบครัวมาโดยตลอด และพยายามจะกอบกู้สถานะทางการเงินของครอบครัว ในวินาทีก่อนที่เขาจะขึ้นโชว์ที่งานคาร์นิวัลเพื่อทำการแสดง ครอบครัวของเอลวิสกำลังขอพรจากพระเจ้า โดยที่ตัวเอลวิสก็ไม่เคยรู้เลยว่าโชว์ครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนชีวิตเขาให้เดินเข้าสู่ความรุ่งโรจน์และไม่อาจจะหวนกลับสู่ความเป็นสามัญได้อีกต่อไป

ลีลาท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ นำเสียงคร่ำครวญที่ติดหู สไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่น และใบหน้าอันหล่อเหลา เมื่อทุกอย่างผสมผสานกัน เอลวิสสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูที่เป็นผู้หญิง ราวกับเขากำลังร่ายมนตร์สะกดคนดู จนพวกเขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และวินาทีนั้นนั่นเองที่ผู้พันปาร์คเกอร์รับรู้ทันทีว่า ผู้ชายคนนี้มี “ของ” ในตัวเอง และเป็นแหล่งขุมทรัพย์สำคัญที่เขาจะเอาไว้ถลุงเงินส่วนแบ่งในฐานะผู้จัดการส่วนตัว

ความเก่งกาจในการหว่านล้อมของผู้พันปาร์คเกอร์ เขารู้วิธีการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเอลวิส ให้สามารถเข้าทางและเอื้อประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เอลวิสในฐานะดาวรุ่ง เขาไม่รู้เลยว่าข้อตกลงที่ตัวเองทำกับผู้พันปาร์คเกอร์จะกลายเป็น “สัญญาทาส” ที่ผูกเขากับปาร์คเกอร์เอาไว้ด้วยกันตลอดไป แต่ด้วยความไร้เดียงสา อ่อนประสบการณ์ในธุรกิจบันเทิง เอลวิสไม่ต่างอะไรจากเด็กหนุ่มที่มีความฝัน อยากจะสร้างชื่อเสียงและหาเงินมาให้กับครอบครัวพ้นวิกฤต เขาจึงทุ่มทุกอย่างแบบสุดตัว

แน่นอนว่าเมื่อความเป็นเอกลักษณ์ของเอลวิส ความโด่งดังในฐานะดาวรุ่งในวงการเพลงแนวร็อคแอนด์โรล ดันไปสะดุดตาเหล่าผู้ถืออำนาจในการบริหารบ้านเมืองที่กำลังเป็นกังวลว่า “ลีลาโยกย้าย ส่ายเป้า ชักกระตุก” ของเอลวิสคือการหยิบยืมวัฒนธรรมของคนผิวสีมาปรับใช้ จนพวกเขากลัวว่า “ลูกหลาน” คนผิวขาวจะไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกต่อไป พวกเขาจึงพยายามไม่ให้เอลวิสแสดงความเป็นตัวเองออกมา และเลวร้ายที่สุดคือการบีบบังคับให้เอลวิสไปเป็นทหารเกณฑ์ โดยระหว่างที่ไกลบ้านนั้น แม่ของเอลวิสที่ติดเหล้าและตรอมใจที่ห่างเหินกับลูกชายได้เสียชีวิตลง

การสูญเสียแม่ครั้งนี้ของเอลวิส ทำให้เขาปวดร้าวเจียนตายไม่นานหลังจากนั้นเอง เอลวิสก็ได้พบกับพริสซิลล่า (โอลิเวีย เดอยองจ์) หญิงสาวที่ได้กลายมาเป็นทั้งคู่ชีวิตและเพื่อนคนสำคัญที่ยืนอยู่เคียงข้างเอลวิส ในเวลาต่อมา แม้ว่าจะกลับมาจากการเป็นทหารผลงานการแสดงของเอลวิส ดูเหมือนจะทำให้เขา “ไขว้เขว” จากสิ่งที่เขาเป็น จนวันหนึ่งเอลวิสเองเริ่มรับรู้ว่าเขากำลังจะทำตัวตนที่เขาเติบโตมาหล่นหายไป เขาจึงพยายามในทุกวิถีทางที่จะกลับมาเป็นเอลวิสคนเดิม แม้ว่าอุปสรรคที่สำคัญก็คือหน่วยงานภาครัฐที่พยายามกดทับสิ่งดังกล่าวไว้ แต่จริงๆแล้ว คนที่ฉุดรั้งเขาไม่ให้เป็นตัวของตัวเองก็คือผู้พันปาร์คเกอร์ ที่รู้ทันทีว่าถ้าเอลวิสเผยด้าน “ขบถ” ที่เขาเป็นมาโดยตลอดนั้น อาจจะทำให้รายได้ในฐานะการกินส่วนแบ่งหายไปเพราะโดนภาครัฐเล่นงาน

อย่างไรก็ตามคนทุกคนมี “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ และเมื่อวันหนึ่งเอลวิส ไม่ทนความหน้าเงินของปาร์คเกอร์อีก เขาจึงตัดสินใจไล่ผู้จัดการของตัวเองออก แต่ปาร์คเกอร์ก็ไม่ยอมแพ้ งัดข้อตกลงตามสัญญาที่เขาเคยทำเอาไว้กับเอลวิสตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาทำงานด้วยกัน มาคิดเป็นดอกเบี้ย ทำให้เอลวิสกลายเป็นคนที่เป็นหนี้ในจำนวนมหาศาล และหนทางเดียวที่เขาจะชดใช้มันหมด ก็คือการทำงานให้กับผู้พันปาร์คเกอร์ต่อไป

บทเพลง Caught in a trap ของเอลวิสที่ถูกใช้ซ้ำ ดังคลอเป็นฉากหลังในช่วงเวลาบั้นท้ายของชีวิตเอลวิส จึงไม่ได้เป็นบทเพลงรัก แต่เป็นการสะท้อนชีวิตของเอลวิสเองว่าเขาติดอยู่ใน “กรงขัง” ด้วยสัญญาทาสที่ทำให้ตัวเขาเอง ไม่สามารถโบยบินไปไหนตามใจตัวเองได้ และสิ้นลมหายใจลาจากโลกนี้ไปเพียงเพราะเขาหมดแรง สิ้นไฟ เหลือไว้แค่เพียงตำนานที่โลกนี้ไม่เคยลืมเขา ในฐานะ “ราชาแห่งวงการเพลงร็อคแอนด์โรล” ตลอดไป และคนที่สูบวิญญาณของผู้ชายคนนี้ไปจนหมดสิ้นก็คือผู้พันปาร์คเกอร์ที่อาจจะไม่ได้เป็นตัวร้ายเล่นใหญ่ แต่เขานิ่งเงียบ เลือดเย็นและเป็นนักธุรกิจหัวใสแต่ร้ายกาจเข้ากระดูกดำ!

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook