Top Gun: Maverick เก่าแต่เก๋า

Top Gun: Maverick เก่าแต่เก๋า

Top Gun: Maverick เก่าแต่เก๋า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Top Gun: Maverick ถือเป็นหนังภาคต่อที่ทิ้งระยะห่างจากหนังภาคแรกถึง 36 ปี โดยการกลับมาครั้งนี้ยังเป็นการสานต่อเรื่องราวจากหนังภาคแรก ที่ถือได้ว่าเป็น “ตำนานแห่งยุค 80” เลยก็ว่าได้ ความเก๋าในยุคนั้นกำลังจะกลับมาทำให้คนดูรุ่นเก่าคิดถึง และคนดูรุ่นใหม่ทึ่งไปกับ Top Gun

 

ตำนานแห่งยุค 80

Top Gun ถือเป็นหนังที่อยู่ในความทรงจำของคนในยุคปี 80 อย่างแท้จริง หนังเรื่องดังกล่าวทำให้กองทัพอเมริกามีคนไปสมัครเข้าเป็นทหารมากขึ้นในปีต่อมา ดารานักแสดงในเรื่องอย่างทอม ครูซและวัล คิลเมอร์แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ลามไปถึงแฟชั่นอย่างแจ็คเก็ตหนัง แว่นตาเรย์แบรนด์ ลามไปถึงพาหนะมอเตอร์ไซค์คาวาซากิที่ใครๆก็อยากครอบครอง

ยังไม่รวมไปถึงสไตล์การถ่ายทำที่พิเศษและโดดเด่นในยุคสมัยนั้นกับการถ่ายทำในห้องนักบินของเครื่องบินF-14 Tomcat ซึ่งสามารถจับสีหน้าแววตา ความรู้สึกของนักแสดงที่ยิ่งเร้าอารมณ์ของผู้ชมไม่ต่างจากตัวละครในเรื่อง นออกจากนี้เพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Take My Breath Away ยังไปคว้ารางวัลออสการ์ในสาขา Best Music, Original Song มาด้วย

อันที่จริงแล้วหนัง Top Gun ภาคแรกไม่ได้เน้นอยู่ที่ตัวละครเอกอย่างมาเวอริกเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผู้ชมได้เห็นวิถีชีวิตของผองเพื่อนฝูงนักบิน ความสัมพันธ์ การแข่งขัน ความรักระหว่างพวกพ้องและความรักตามประสาคนหนุ่มสาวด้วย และองค์ประกอบเหล่านี้เองที่ทำให้ Top Gun จับใจผู้ชม และยังคงเป็นหนังที่คนดูในยุคสมัย 80 ยังคงรอคอยการกลับมาอยู่เสมอ

 

สามทศวรรษที่รอคอย

หลังจากกว่า 30 ปีที่ พีท มาเวอริค มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) ในฐานะหนึ่งในนักบินชั้นนำของกองทัพเรือ ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้ กล้าได้กล้าเสี่ยง ยังทำให้เขารู้สึกกับงานที่ตัวเองทำอยู่เสมอ แต่เมื่อโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีการบินก็เติบโตไปข้างหน้าจนทำให้ฝูงเครื่องบินขับไล่กำลังจะถูกลดสถานะลงและในอนาคต “โดรน” จะเข้ามามีบทบาทแทนเหล่าทหาร ตลอดชีวิตการทำงานมาเวอริค หลีกเลี่ยงการเลื่อนตำแหน่งไปในระดับอื่นๆ เขายังภาคภูมิใจกับการเป็น “กัปตัน”

จนกระทั่งมาเวอริคถูกส่งตัวให้กลับมารับตำแหน่ง “ครูฝึก” ให้กับเหล่านักบินยุคใหม่ที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจทำลายอาวุธนิวเคลียร์ในหุบเขาของศัตรู ด้วยประสบการณ์ที่มาเวอริคสั่งสมมาทั้งชีวิตแต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจในศักยภาพของตัวเองว่าเขาจะสามารถสอนใครได้จริงๆหรือเปล่า แต่เมื่อทางกองทัพยืนคำขาดให้กับมาเวอริคแค่เพียง ไปสอนและปลดประจำการอย่างมีเกียรติหรือต้องถูกริบโอกาสในการขึ้นท้องฟ้า เขาจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย

ในการฝึกครั้งนี้มาเวอริคได้พบกับเรือเอกแบรดลีย์ แบรดชอว์ (ไมลส์ เทลเลอร์) รหัสเรียก: “รูสเตอร์” ลูกชายของเรือเอกนิค แบรดชอว์ หรือ “กู๊ส” เจ้าหน้าที่สกัดกั้นเรดาร์ ที่เสียชีวิตไปหลังจากความคึกคะนองของมาเวอริคในสมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม ตราบาปและรอยบาดแผลที่เขาเองไม่เคยลืม และครั้งนี้เขาต้องกลับมาฝึกฝนลูกชายของเพื่อนสนิทที่ยังดูตะขิดตะขวงใจในการตายของพ่อตัวเอง

มาเวอริคและเหล่ากองทหารฝีมือดี มีเวลาอันสั้นในการฝึกฝนการบินของพวกเขา ไม่เช่นนั้นแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นภารกิจฆ่าตัวตายของเหล่านักบิน เพื่อให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงก็เป็นได้

 

เก่าแต่เก๋า

จะว่าไปแล้ว Top Gun: Maverick ดำเนินเรื่องราวทั้งหมดตามวิธีการเล่าแบบหนังยุค 80-90 อย่างชัดเจน พูดง่ายๆว่ามันมีแบบฟอร์มในการดำเนินเรื่องที่ราบเรียบง่ายต่อการทำความเข้าใจ และแม้ว่าผู้ชมยุคใหม่ที่ไม่เคยดูหนัง Top Gun ภาคแรกก็ยังจะสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนังภาคนี้ได้แบบสะดวกโยธิน

นอกเหนือไปจากนี้วิธีการเล่าตัวละครในหนัง เรียกได้ว่าถอดแบบออกมาจากหนังภาคแรกแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฉากการเปิดตัวครูฝึกคนใหม่ (มาเวอริค) เหล่านักเรียนจอมเฮี้ยวแต่มากความสามารถ (เหล่าท็อปกันรุ่นใหม่) ฉากโรแมนติก กุ๊กกิ๊ก อิ่มเอมใจ (ฉากเดทกันระหว่างมาเวอริคและเพนนี เบนจามิน) ฉากฝึกฝนการบินสุดตื่นเต้น แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะมีรูปแบบวิธีเล่าแบบเดิม แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาคือการพาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของตัวละครเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นมาเวอริค ที่เป็นคนเดิมกับ 36 ปีที่แล้ว แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เขาเริ่มตกตะกอนชีวิตและเรียนรู้ความผิดพลาดจากในอดีต หรือไอซ์แมน (วัล คิลเมอร์) ที่ได้กลายเป็นพลเรือเอกระดับ 4 ดาว แม้ว่าในช่วงชีวิตตอนนี้เขามียศใหญ่ แต่สุขภาพร่างกายที่เขาต้องต่อสู้กับมะเร็งในคอนั้น ก็กลายเป็นความทุกข์ทรมานของชีวิต (ปัจจุบันวัล คิลเมอร์ป่วยเป็นมะเร็งลำคอจริงๆแบบในเรื่อง) บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครทั้งสองตัวนี้ คล้ายกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่ครั้งหนึ่งทั้งคู่ต่างพยายามช่วงชิงความเป็นหนึ่งกันในสมัยยังหนุ่มแน่น แต่กว่า 30 ปีที่พวกเขาได้เรียนรู้ชีวิตมา บางเรื่องราวก็ยังดูเป็นเหมือนปริศนาของชีวิตที่มาเวอริคยังไม่สามารถแก้ไขมันได้

คำแนะนำของไอซ์แมนที่อยู่กับความป่วยไข้ของชีวิต ก็ได้แต่ให้กำลังใจและมอบข้อคิดแก่มาเวอริคที่ว่า “นายคงต้องปล่อยวางบ้าง” หลังจากที่เขาไม่สามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อรูสเตอร์ ที่ใจหนึ่งมาเวอริคก็เป็นห่วงว่าถ้าส่งรูสเตอร์ไปทำภารกิจ เขาก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับมา คล้ายกับการตอกย้ำแผลเก่าของตัวเองที่เคยทำพ่อของรูสเตอร์ตาย แต่การจะห้ามไม่ให้เขาทำภารกิจ ก็คงจะเป็นเหมือนตอนที่มาเวอริคตัดสินใจเอาใบสมัครของรูสเตอร์ออกจากการพิจารณาและทำให้เขาเสียเวลาชีวิตไปถึงสี่ปี ไม่ว่าจะเป็นหนทางไหนก็จะ “เจ็บปวด” ทางความรู้สึกด้วยกันทั้งนั้น

อย่างที่บอกไปว่า Top Gun: Maverick อาจจะมีความ “เก่า” อยู่ในตัวเรื่องราว แต่วิธีการเล่าเรื่อง องค์ประกอบโดยรวม การแสดงของทอม ครูซ วัล คิลเมอร์ และนักแสดงรุ่นใหม่ๆ เทคนิคการถ่ายทำฉากบนเครื่องบิน รวมไปถึงฉากการไล่ล่า เราคงจะต้องบอกได้ว่าหนัง “เก๋า” พอที่จะทำให้คนดูในทุกยุคสมัยรู้สึกว่าหนังยังเจ๋งและดูสนุก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ถูกที่ควรด้วยกันทั้งสิ้น เพราะถ้าหากหนังภาคนี้ สร้างเร็วกว่านี้ไปสัก 20 ปี มันอาจจะไม่ “ตราตรึง” และน่าจดจำแบบวันนี้ก็เป็นได้

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook