ยังแรงไม่เลิก Spider-Man: No Way Home กลับมาโค่น Scream อีกครั้งในบ๊อกซ์ออฟฟิศอเมริกา

ยังแรงไม่เลิก Spider-Man: No Way Home กลับมาโค่น Scream อีกครั้งในบ๊อกซ์ออฟฟิศอเมริกา

ยังแรงไม่เลิก Spider-Man: No Way Home กลับมาโค่น Scream อีกครั้งในบ๊อกซ์ออฟฟิศอเมริกา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขึ้นชื่อว่าหนังมาร์เวล มักจะมีอะไรให้แฟนๆตื่นเต้นกันไม่เลิกไม่ลา เพราะล่าสุด Spider-Man: No Way Home กลับมาครองแชมป์บนตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศในอเมริกาอีกครั้ง

 

หลังจากที่สัปดาห์ก่อน Scream (หรือ Scream 5) สามารถเปิดตัวด้วยรายได้ 30.6 ล้านเหรียญไปในสุดสัปดาห์ที่ 14-16 มกราคม 2022 เบียดเอาอดีตแชมป์ Spider-Man: No Way Home ที่ครองอันดับที่ 1 มายาวนานถึง 3 สัปดาห์ซ้อน หล่นไปอยู่ในตำแหน่งที่ 2 ในทันที

ทว่าในสัปดาห์ล่าสุดนี้ Spider-Man: No Way Home กลับมายึดบัลลังก์หนังทำเงินอันดับ 1 กลับไปครองเป็นที่เรียบร้อย ด้วยการเก็บรายได้เพิ่มไปอีก 14 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายรับรวมในอเมริกาเหนือกวาดเงินไปแล้วทั้งสิ้น 721 ล้านเหรียญ ส่วนในตลาดต่างประเทศทำเงินไปอีก 970 ล้านเหรียญฯ สิริรวมรายได้ทั้งสิ้น ณ เวลานี้ อยู่ที่ 1,691 ล้านเหรียญฯ และยังเดินหน้าทำรายได้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ตอนนี้ถ้าหากคิดเฉพาะรายได้ในอเมริกาอย่างเดียว Spider-Man: No Way Home กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 4 ตามหลังอันดับที่ 3 อย่าง The Avengers (รายได้ 760 ล้านเหรียญฯ) อันดับที่ 2  Avengers: Endgame (858 ล้านเหรียญฯ) และอันดับที่ 1 Star Wars: The Force Awakens (936 ล้านเหรียญฯ)

ส่วนอดีตแชมป์เก่าในสัปดาห์ก่อนอย่าง Scream ทำรายได้สุดสัปดาห์นี้ไปอีก 12 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้ลดลงกว่า 58.7% ทำให้ตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 2 ไปโดยปริยาย แต่รายรับรวมในอเมริกาตอนนี้ ทำเงินไปแล้วทั้งสิ้น 51 ล้านเหรียญฯ ส่วนในตลาดต่างประเทศทำเงินไป 33 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายรับรวมทั่วโลก ณ ตอนนี้โกยเงินไปแล้วทั้งสิ้น 84 ล้านเหรียญฯ

โดยปกติแล้วเดือนมกราคม ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของฮอลลีวูดมักจะถือเป็นช่วง “ทิ้งขยะ” สำหรับบรรดาหนังฟอร์มใหญ่ที่มีสภาพท่าดีทีเหลว (ซึ่งปัจจุบันสตูดิโอมักไหวตัวทันและโยนหนังเหล่านี้ไปลงสตรีมมิ่งแทน) และยังถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยจะมีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉายสักเท่าไหร่ในเดือนนี้ ทำให้เป็นโอกาสอันดีสำหรับ Scream ที่เลือกมาเปิดตัวในเดือนนี้จึงถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับสตูดิโออย่างพาราเมาต์ และเมื่อหนังทำเงินทั่วโลกไปแล้ว 84 ล้านเหรียญฯ ตอนนี้สตูดิโอก็คงได้แต่ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

หากลองย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 ในช่วงเวลาที่ Scream 4 เข้าฉาย หนังทำรายได้ในอเมริกาไปด้วยรายได้แค่เพียง 38 ล้านเหรียญฯ เท่านั้นและไปโกยเงินจากนอกประเทศเป็นส่วนใหญ่ด้วยรายได้ 59 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายรับรวมของหนังอยู่ที่ 97 ล้านเหรียญฯ จากต้นทุนในการสร้างที่ 40 ล้านเหรียญฯ

อย่างไรก็ตามเมื่อดูอัตราการทำเงินของ Scream ภาคล่าสุดที่ทำรายได้ลดลงกว่าครึ่งในสัปดาห์นี้ ทำให้เราต้องประเมินกันต่อว่าหนังจะปิดยอดรายรับรวมไปที่เท่าไหร่ แล้วหนังจะมีความหวังที่จะทำรายได้ทั่วโลกจนโกยเงินทะลุ 100 ล้านเหรียญฯ ได้หรือไม่ หลังจากที่ Scream 3 เคยโกยรายได้ทั่วโลกไปถึง 161 ล้านเหรียญฯ ในปี 2000 ส่วน Scream 2 ทำเงินไปที่ 172 ล้านเหรียญฯ และ Scream ภาคแรกทำเงินไว้ที่ 173 ล้านเหรียญฯ

ถึงหนังจะทำเงินไปแค่ไหนก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สำหรับสตูดิโอพาราเมาท์และสปายกลาส มีเดีย กรุ๊ปคือ Scream ถือเป็นหนังสยองขวัญที่ลงทุนสร้างแค่เพียง 24 ล้านเหรียญเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าหนังจะทำเงินไปอีกเท่าไหร่ ตอนนี้ก็มีแต่กำไรกับกำไรเท่านั้น

นี่ยังถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกประการสำหรับโรงภาพยนตร์หลังจากที่ก่อนหน้านี้ หนังหลายๆเรื่องตัดสินใจที่จะเลื่อนตารางฉายออกไปเพราะโรคระบาดอย่างโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในช่วงปลายปีที่แล้วที่ หนังไล่เชือดฟอร์มใหญ่อย่าง Halloween Kills ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พร้อมๆกับปล่อยลงทางสตรีมมิ่ง ทำให้หนังทำรายได้ภายในอเมริกาอยู่ที่ 92 ล้านเหรียญฯ ตลาดต่างประเทศอีก 39 ล้านเหรียญฯ ทำให้รายได้หลังปิดการฉายทั่วโลกจบที่ 131 ล้านเหรียญฯ ดังนั้น การมาถึงของ Scream ยังพอจะบ่งบอกได้ว่า หนังแนวไล่เชือดยังคงเป็นหนังที่ผู้ชมยังให้การตอบรับที่จะชมบนจอใหญ่อยู่เช่นเคย

แน่นอนว่ากระแสที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้หนังอย่าง Scream สามารถยืนโรงฉายต่อเนื่องได้นั้นมาจากบรรดากระแสปากต่อปาก คำวิจารณ์ในแง่บวก ซึ่งต่างยกย่องให้หนังภาคนี้มีความดีงามไม่แพ้หนังภาคออริจินัล ผลงานการกำกับของ แมทท์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิน และไทเลอร์ กิลเล็ตต์ จาก Ready or Not

นอกเหนือจาก Scream แล้วในสัปดาห์นี้ยังมีหนังใหม่อย่าง Redeeming Love ผลงานรักโรแมนติกแนวพีเรียดย้อนยุค ผลงานการกำกับโดยดี.เจ. คารูโซ ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ผลงานการประพันธ์ของ ฟรานซีน ริเวอร์ส ตัวหนังถูกถล่มเละจากนักวิจารณ์ สวนทางกับบรรดาผู้ชมที่ดูจะหลงรักหนังเรื่องนี้กันอย่างถ้วนหน้า (คะแนนจากนักวิจารณ์ใน Rottentomatoes อยู่ที่ 11% ในขณะที่ฝั่งผู้ชมให้คะแนนเฉลี่ยรวมกันอยู่ที่ 95%) ทำรายได้ในอเมริกาอยู่ที่ 3 ล้านเหรียญฯ

ส่วนหนังใหม่อีกเรื่องอย่าง The King's Daughter หนังพีเรียด ย้อนยุค แฟนตาซี ว่าด้วยหญิงสาวที่ค้นพบว่าโลกใต้ผืนน้ำมีนางเงือกอาศัยอยู่ใต้อาณาจักรของตัวเอง เธอจึงพยายามจะปกป้องสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากการตามล่าของชาวเมือง โดยนักวิจารณ์สับยับ ส่วนคนดูจะชื่นชอบ (อีกแล้ว) แต่หนังก็ทำเงินไปเพียงน้อยนิดในอเมริกาด้วยรายได้ 7 แสนเหรียญฯ เท่านั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook