Shang-Chi และ Spider-Man: No Way Home จะไม่ลง Disney+ พร้อมฉายโรง!

Shang-Chi และ Spider-Man: No Way Home จะไม่ลง Disney+ พร้อมฉายโรง!

Shang-Chi และ Spider-Man: No Way Home จะไม่ลง Disney+ พร้อมฉายโรง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

จากสถานการณ์โควิดระบาดอย่างต่อเนื่องกินเวลายาวนานร่วม 2 ปีและยังไม่มีท่าทีจะยุติ ธุรกิจต่างๆทั่วโลกต่างพยายามเอาตัวรอดและปรับตัว เช่นเดียวกับดิสนีย์ ที่ใช้ช่องทางสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ในการฉายหนังแบบให้ทางเลือกกับผู้ชมในอเมริกาด้วยการเปิดระบบ Premium Access ด้วยการให้สมาชิกที่ยังไม่กลัวการกลับเข้าโรงภาพยนตร์จ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อสามารถดูหนังใหม่ได้ที่บ้าน โดยดิสนีย์เริ่มต้นช่องทางนี้กับ Mulan ไปตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอเมริกา

จากวันที่ Mulan เข้าฉายทางสตรีมมิ่ง Disney+ แบบ Premium Access จวบจนหนังดิสนีย์เรื่องล่าสุดอย่าง Jungle Cruise ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างดี แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการฉายหนังทั้งในโรงภาพยนตร์และฉายสตรีมมิ่งไปพร้อมๆกันไม่ได้เป็นผลดีต่อรายได้ในระยะยาว เนื่องจากไม่กี่วันหลังจากปล่อยฉายทาง Disney+ มักจะมีไฟล์หนังหลุดแบบคมกริ๊บออกมาให้ดาวน์โหลดเถื่อนกันจนทำให้ค่ายหนังสูญเสียรายได้ที่ควรจะเป็นไปมากโข

กรณีศึกษาคือหนังมาร์เวลอย่าง Black Widow ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์อเมริกาไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน พร้อมๆกับปล่อยลงทางสตรีมมิ่ง เมื่อผลการรวบรวมรายได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ผลปรากฏว่า ในสัปดาห์ที่สองจากการเข้าฉายหนังเรื่องนี้ทำรายได้ลดลงกว่า 67% ของรายได้ในสัปดาห์แรก ถึงแม้ว่าผู้ที่ใช้บริการสตรีมมิ่ง Disney+ Premier Access จะยอมจ่ายเงินในการรับชมมากกว่าการไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการ “ฉายควบ” แบบนี้ไม่ค่อยเป็นผลดีสักเท่าไหร่กับสตูดิโอ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังบานปลายกว่าเดิมเมื่อมีข่าวนักแสดงนำอย่างสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ตัดสินใจยื่นฟ้องร้องสตูดิโอดิสนีย์ หลังจากผิดข้อตกลงในการฉายภาพยนตร์ Black Widow ทาง Disney+ Premier Access แม้ว่าเบื้องต้นจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันระหว่างสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่เมื่อทั้งสตูดิโออย่างดิสนีย์และมาร์เวลนิ่งเฉย เธอจึงตัดสินใจออกมาฟ้องร้องเพื่อทักท้วงความยุติธรรมเนื่องจาก การฉายควบเช่นนี้ทำให้เธอสูญเสียส่วนแบ่งรายได้ที่ควรจะได้รับกว่า 50 ล้านดอลลาร์ ถ้าหากหนังได้เข้าฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์

แม้ว่าสตูดิโออย่างดิสนีย์เองจะมีการแถลงการณ์ตอบกลับข้อเรียกร้องของสการ์เล็ตต์ว่า “ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ การตัดสินใจปล่อยสตรีมมิ่งควบคู่ไปด้วยกันนั้น สำหรับ Black Widow แล้วสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ได้รับค่าตัวเพิ่มเติมบางส่วนไปแล้วนอกเหนือจากค่าตัวในการแสดงที่จ่ายไปแล้ว 20 ล้านดอลลาร์” ซึ่งฟังดูแล้วก็เป็นวิธีตอบคำถามสื่ออารมณ์แถลงการณ์เพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กรมากกว่า ก็คงต้องติดตามดูกันในตอนต่อไปว่าข้อฟ้องร้องดังกล่าวจะจบลงว่าฝั่งไหนจะเป็นคนชนะ แต่แน่นอนว่า การตัดสินใจออกโรงของสการ์เล็ตต์ครั้งนี้ถือเป็นการทวงถามถึงความยุติธรรมในการทำสัญญาและยังนำไปสู่คำถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสตูดิโออย่างดิสนีย์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อ

สำหรับหนังมาร์เวลเรื่องต่อไปที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่าง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ซึ่งวางกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 3 กันยายน 2021 ทางซีอีโอของดิสนีย์ บ๊อบ ชาเพ็ก ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าหนังเรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงเท่านั้น “นี่เป็นการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย การฉายในโรงภาพยนตร์ก่อนน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนดู และเรายังยึดหลัก ฉายโรงก่อน 45 วัน ก่อนจะปล่อยลงทางสตรีมมิ่ง “

จากแถลงการณ์ดังกล่าวมีความน่าสนใจตรงที่ ก่อนหน้านี้สตูดิโออย่างวอร์เนอร์ฯ เพิ่งประกาศว่าจะเข้าร่วมนโยบายดังกล่าว เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่าปี การที่โรงภาพยนตร์ในอเมริกาที่จำเป็นต้องปิดให้บริการเนื่องจากสถานการณ์โควิดระบาดในอเมริกา ที่มีผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูง หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางมากขึ้น การเจรจาทางธุรกิจและเอื้อเฟื้อต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สตูดิโอยักษ์ใหญ่และอเมริกาจึงจำเป็นจะต้องหาทางออกร่วมกัน ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ธุรกิจโรงภาพยนตร์อาจอยู่ไม่รอด (และในขณะเดียวกันค่ายหนังเองก็รู้แล้วว่า ไม่เวิร์คเท่าไหร่กับการปล่อยสตรีมมิ่งพร้อมเข้าโรงฉาย)

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ Spider-Man: No Way Home ภายใต้การถือสิทธิ์และจัดจำหน่ายโดยค่ายโซนี่ ประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่มีการฉายออนไลน์ไปพร้อมๆกับเข้าโรงภาพยนตร์ ดังนั้นจึงหมดห่วงเรื่องไฟล์หนังหลุดคมชัดตั้งแต่ช่วงแรกๆที่หนังเข้าฉาย  นอกเหนือไปจากนี้โซนี่เอง ยังมีการเตรียมตัวสำหรับหนังอีกเรื่องในจักรวาลตัวละครในสไปเดอร์แมนกับภาคต่ออย่าง Venom: Let There Be Carnage จากเดิมที่มีการวางกำหนดฉายไว้ปลายเดือนกันยายน ย้ายไปเป็นช่วงเดือนปลายตุลาคม หลังจากที่สถานการณ์โควิดสายพันธุ์เดลต้าเริ่มกลับมาระบาดและรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

จะเห็นได้ว่าธุรกิจภาพยนตร์ฝั่งฮอลลีวูดพยายามปรับตัวอย่างหนักในช่วงตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีการลองผิดลองถูกและพยายามจะหาช่องทางในการดำเนินธุรกิจให้สายพานในทุกภาคส่วนสามารถดำเนินกิจการกันต่อไปได้ไม่น้อยก็มาก เมื่อเราหวนกลับมาดูที่ประเทศไทย อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยและวงการบันเทิงที่ย่ำแย่ไม่ไปไหน มิหนำซ้ำความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งทำให้เราเป็นห่วงว่า สุดท้ายแล้วเมื่อไหร่กันที่เราจะได้กลับไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กันได้อีก และเมื่อไหร่จะมีหนังไทยที่ได้ฉายบนจอใหญ่อีกครั้งกัน ?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook