[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Alone in the Dark หนังเกมสุดห่วย ป่วยจนไม่รู้ว่าทำไมต้องเปลืองไฟดู!

[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Alone in the Dark หนังเกมสุดห่วย ป่วยจนไม่รู้ว่าทำไมต้องเปลืองไฟดู!

[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Alone in the Dark หนังเกมสุดห่วย ป่วยจนไม่รู้ว่าทำไมต้องเปลืองไฟดู!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

Alone in the Dark คือเกมแนวสยองขวัญที่ผลิตขึ้นในยุคแรกๆโดยบริษัท Atari วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1992 ผู้เล่นจะต้องสวมตัวเอกในการทำหน้าที่เป็นนักสืบเข้าไปตามล่าหาความจริงว่าเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของเจ้าของคฤหาสน์นั้นเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ แต่ยิ่งใกล้ความจริงก็ค้นพบความไม่ชอบมาพากลและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ

เวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้นเป็นผลงานการกำกับของอูเว่ โบลล์ โดยพี่แกรับหน้าที่ในการดัดแปลงเกมดังๆหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น House of the Dead (2003), In the Name of the King: A Dungeon Siege Tale (2008), Bloodrayne (2006), Postal (2007) และ Far Cry (2008) ซึ่งทุกเรื่องนักวิจารณ์และคนดูก็พร้อมด่าด้วยมติเอกฉันท์ว่าหนังทุกเรื่องที่เขาสร้างห่วยแตก

ย้อนกลับมาที่ Alone in the Dark เล่าเรื่องราวของเอ็ดเวิร์ด คาร์นบี้ (คริสเตียน สเลเตอร์) นักล่าปีศาจที่ต้องมาเจอกับปีศาจร้ายจากเผ่าแอ็บคานี่ที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขาได้หวนกลับมาพบกับแฟนเก่าอย่างเอลิน (ทาร่า รี้ด) นักโบราณคดีที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ โดยทั้งสองต้องร่วมมือกันหยุดยั้งปีศาจร้ายตัวนี้ ไม่ให้พบเจอกับราชาปีศาจ โดยหารู้ไม่ว่ามีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเผ่าแอ็บคานี่และมีแผนชั่วร้ายที่เตรียมการไว้เพื่อยึดครองโลก เอ็ดเวิร์ดและเอลินยังต้องรับมือกับกลุ่มทหารบูโร 713 ที่พยายามต่อสู้กับสัตว์ร้าย

อ่านพล็อตเรื่องอาจจะรู้สึกว่าหนังจะต้องตื่นเต้นเขย่าขวัญ มีฉากแอ็คชั่นสุดเดือดใช่ไหมครับ แต่กลายเป็นว่าหนังชวนหลับสนิท เพราะนอกจากจะเดินเรื่องช้ามาก แถมฉากสยองขวัญก็มืดมัวสมชื่อหนัง และเมื่อพิจารณาความสอดคล้องกับตัวเกมต้นฉบับ สามารถกล่าวได้เลยว่าไม่มีอะไรเหลือเค้าโครงเดิมของเกมเลย เว้นเสียแต่คำว่า Dark ที่แปลตรงๆว่า “มืด” เพราะดูแล้วก็มืดบอดแปดด้านจริงๆทั้งเหตุผลและความบันเทิง

หลายๆสถานการณ์ในเรื่องก็ไร้ประโยชน์ ไร้เหตุผล หลายอย่างไม่มีความเกี่ยวโยงกัน ดูไปก็ได้แต่เกาหัวงงว่า ตกลงแล้วหนังต้องการจะเล่าอะไรกันแน่ แล้วทำไมตัวละครต้องพูดคุยกันด้วยการตะคอกใส่คนดูตลอดเวลา จากการเริ่มต้นเป็นหนังลึกลับเหนือธรรมชาติ ก่อนผันตัวเองเป็นหนังสัตว์ประหลาด ก่อนเปลี่ยนเป็นโหมดหนังแอ็คชั่น และปิดท้ายด้วยการผันตัวเองเป็นหนังผจญภัยสไตล์อินเดียน่าโจนส์  

สรุปคือ Alone in the Dark เป็นหนังที่ดูแล้วงงในตัวเอง ดูจบก็ใช้ความอดทนสูงมากที่จะดูให้จบ จนถึงวินาทีนี้ก็เขียนเล่าคุณผู้อ่านไม่ถูกเหมือนกันว่า จะเปิดหนังเรื่องนี้ดูไปทำอะไร แต่ที่แน่ๆเราเตือนคุณแล้วนะ ว่าถ้าไม่อยากเปลืองค่าไฟ “อย่าหาทำ” !  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook