ทำไม Mortal Kombat ถึงเป็นหนังจากเกมต่อสู้ที่ดีที่สุดในเวลานี้

ทำไม Mortal Kombat ถึงเป็นหนังจากเกมต่อสู้ที่ดีที่สุดในเวลานี้

ทำไม Mortal Kombat ถึงเป็นหนังจากเกมต่อสู้ที่ดีที่สุดในเวลานี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 มีหนังที่สร้างจากเกมเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่จะได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และคนดู โดยฝั่งหลังจะเป็นฝ่ายที่ช่วยสนับสนุนหลักที่ช่วยต่อลมหายใจให้หนังเกมเหล่านี้ได้รับการสร้างภาคต่อ อาทิ Resident Evil ที่มีทั้งแฟนเกมและแฟนหนังคอยซัพพอร์ตให้แฟรนไชส์นี้ได้รับการสร้างต่อทั้งเวอร์ชั่นหนัง หนังแอนิเมชั่น และล่าสุดกับการทำเป็นทีวีซีรีส์โดย Netflix แต่ก็ไม่ใช่หนังเกมทุกเรื่องที่จะได้รับความนิยมขนาดนี้ เพราะเกมดังๆหลายเรื่องที่ขึ้นจอใหญ่ก็ดับสนิทและถูกฝังกลบดินอย่างไม่ใยดี อาทิ Prince of Persia: The Sands of Time, Alone in the Dark หรือ Warcraft เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Mortal Kombat ดูเหมือนว่าจะเป็นแสงสว่างรำไร ให้กับเส้นทางของแฟรนไชส์หนังเกมชุดใหม่ ซึ่งตัวทีมผู้สร้างเองก็แจ้งเจตจำนงไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า Mortal Kombat นั้นจะไม่ได้มีแค่ภาคเดียวอย่างแน่นอน หลังจากทีหนังเปิดตัวในเอเชียและยุโรป (ในบางประเทศ) ไปตั้งแต่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา น่าเสียดายที่ในประเทศไทยหนังเข้าฉายในช่วงเวลาที่โควิดระลอกใหม่กำลังเริ่มระบาดทำให้คนส่วนมากกลับมาวิตกกังวลในการเข้าโรงภาพยนตร์อีกครั้ง จนทำให้วันนี้หนังทำเงินในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านบาท (ข้อมูลจากแฟนเพจ “ชมรมวิจารณ์บันเทิง” https://www.facebook.com/BangkokCritics) จนถึงวันนี้หนังทำรายได้ไปทั้งหมด 10 ล้านเหรียญ และกำลังจะเข้าฉายในประเทศอเมริกาในวันที่ 23 เมษายนนี้ ซึ่งถ้าหากหนังทำรายได้ตามเป้าที่สตูดิโออย่างวอร์เนอร์ฯ คาดการณ์ไว้ โอกาสที่จะได้ดูภาคต่อก็คงจะเป็นไปได้สูง

 

กลับมาวิเคราะห์ว่าทำไม Mortal Kombat ถึงกลายเป็นหนังต่อสู้ที่ดีที่สุด ณ วินาทีนี้ ก็เพราะว่าหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมต่อสู้นั้น จริงๆมีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง (เพราะหนังเกมส่วนมากดัดแปลงมาจากเกมแนวเนื้อเรื่อง ผจญภัย หรือตะลุยด่าน ทำให้ตัวเกมมีโครงสร้างเรื่องที่ชัดเจน) แต่ในขณะที่เกมต่อสู้มักจะเน้นในส่วนที่มาที่ไปของตัวละครและพลังพิเศษที่ตัวละครเหล่านี้ใช้ต่อสู้มากกว่า เกมต่อสู้ที่เคยได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วประกอบไปด้วย Mortal Kombat (1995), Mortal Kombat: Annihilation (1997), Street Fighter (1994), Street Fighter: The Legend of Chun-Li (2009) และ DOA: Dead or Alive (2006) ซึ่งทุกเรื่องที่กล่าวมานั้น มีเพียง Mortal Kombat ภาคแรกที่เอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในยุคสมัยนั้นประมาณหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นจัดได้ว่า “เละ”

สิ่งที่ Mortal Kombat เวอร์ชั่นปี 2021 สามารถกินขาดหนังเกมต่อสู้เรื่องอื่นๆ คือหนังเลือกที่จะให้เวลาตัวละครในเรื่องแต่ละตัว กระจายบทตัวละครกำลังพอดี และทำให้คนดูพอจดจำชื่อและใบหน้าของพวกเขาได้บ้าง จนเมื่อหนังดำเนินมาถึงฉากต่อสู้สำคัญในแต่ละฉาก คนดูจึงมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวเอก (หรือตัวร้าย) ที่เราสามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขามีเลือดมีเนื้อ มีจุดแข็ง จุดอ่อน และมีโอกาสที่จะโดนฆ่าตายได้ตลอดเวลา

เส้นเรื่องหลักที่ว่าด้วยจอมวายร้ายจาก “เอาท์เวิร์ล” อย่างจักรพรรดิจางที่วางแผนส่งเหล่านักฆ่ามาสังหาร เหล่าคนที่มีพลังพิเศษ (อาร์คาน่า) เพื่อกันซีนไม่ให้พวกเขาไปลงแข่งการประลองแห่งจักรวาลที่มีชื่อว่า “มอร์ทัล คอมแบท” อาจจะเป็นแค่เพียงเส้นเรื่องหลัก แต่การจะเล่าเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัว พร้อมไปกับการแทรกฉากต่อสู้เข้ามาให้มีความกลมกลืนและไม่ดูเป็นความประดักประเดิด ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราพิจารณาถึงที่มาที่ไปของเวอร์ชั่นเกมที่แทบจะไม่มีเนื้อเรื่องอะไรอยู่แล้ว ยิ่งถือเป็นความเก่งของทีมเขียนบทเช่นกัน

สิ่งที่หนังน่าจะมัดใจแฟนเกมได้ไม่ยาก คือการให้รายละเอียด ให้เวลากับตัวละครที่พวกเขารัก เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เผยแง่มุมความเป็นมนุษย์มากกว่าที่เราเคยได้เห็นในเกม อีกทั้งนักแสดงผู้รับบทแต่ละคนยังทำให้ตัวละครที่พวกเขารับบทมีเสน่ห์น่าจดจำในแบบของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหนังนำเสนอฉากต่อสู้อันแสนดุเดือดหนังก็ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองที่ เริ่มต้นมาจากเป็นเกมต่อสู้สุดโหดที่จัดเต็มเรื่องเลือด และท่าไม้ตายที่มีฉากพิฆาตศัตรูแบบถึงความทารุณ และเวอร์ชั่นหนังก็ไม่ได้ทำให้แฟนเกมต้องผิดหวังแต่อย่างใด ซึ่งตรงจุดนี้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้กับเจมส์ วาน ว่าที่โปรดิวเซอร์ที่ยื่นข้อแม้กับสตูดิโอว่าหนังเวอร์ชั่นนี้ต้องเป็นเรท R เท่านั้น

สุดท้ายคือฉากหลังในการต่อสู้ ซึ่งแฟนเกมเองก็คงรู้สึกดี ที่ทุกครั้งตัวละครจะต้องต่อสู้ปะลองฝีมือกัน หนังก็เลือกจะใช้มุมกล้องแบบ Bird Eye View ที่เผยให้เห็นทัศนียภาพโดยรอบ ก่อนที่เจาะลงมาเหลือแค่เพียงพื้นที่รอบๆการต่อสู้ของตัวละคร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดเด่นของเกม Mortal Kombat เอง สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากการคงเอกลักษณ์ตัวเกมแล้ว หนังยังไม่ทอดทิ้งคนดูที่ไม่เคยเล่นเกมให้รู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวในจักรวาล Mortal Kombat ด้วยการอาศัยตัวละครอย่างโคล ในการเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดนั่นเอง

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากจะดูเห็นจักรวาล Mortal Kombat ได้ไปต่อ ก็อย่าลืมแนะนำเพื่อนๆและคนรู้จักให้ไปสนับสนุนหนังเรื่องนี้กันนะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook