จาก Mulan สู่ Mulan Live Action เป็นหนังเฟมมินิสต์จริงเหรอ?

จาก Mulan สู่ Mulan Live Action เป็นหนังเฟมมินิสต์จริงเหรอ?

จาก Mulan สู่ Mulan Live Action เป็นหนังเฟมมินิสต์จริงเหรอ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Mulan ฉบับแอนิเมชั่นนั้นล้วนแล้วแต่มี “ภาพจำ” มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร เนื้อเรื่อง เพลงประกอบ จนถือได้ว่าแอนิเมชั่นเรื่องนี้จัดเป็นผลงานคลาสสิกติดทำเนียบหนังในความทรงจำตลอดกาลของผู้ชมทั่วโลก

ความท้าทายครั้งใหม่คือการที่ดิสนีย์มักจะหยิบเอางานแอนิเมชั่นเรื่องดังต่างๆในค่ายของตัวเอง นำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ในรูปแบบ Live Action เพราะบรรดาผู้บริหารต่างก็รู้ดีว่า นี่คือวิธีหาเงินเข้าสตูดิโอที่ง่ายที่สุด เพลย์เซฟและสุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนต่ำ ประหยัดทั้งเรื่องการเขียนบทขึ้นมาใหม่ (แต่ใช้วิธีการดัดแปลงจากบทดั้งเดิมแทน) มีกลุ่มคนดูแน่นอนเนื่องจากเป็นเรื่องราวที่คนดูรู้จัก คุ้นเคยและเป็นที่นิยมอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามดราม่าและอุปสรรคมากมายที่ Mulan ในฉบับคนแสดงนี้ต้องเผชิญ ก็ทำให้เห็นว่าโหงวเฮ้งของหนังเรื่องนี้ก็ไม่สู้ดีเท่าที่ควร และถ้าเรายิ่งได้ชมภาพยนตร์ในเชิงวิเคราะห์แล้ว เราก็จะยิ่งพบบาดแผลมากมายที่ดูแล้วชวนหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอยู่ตลอดเวลา

 

Mulan ฉบับใหม่เป็นหนังเฟมมินิสต์จริงหรือ?

เฟมมินิสต์ (Feminism) คือกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจสังคม วัฒนธรรม แนวคิดเชิงอุดมการณ์ โดยมุ่งเน้นในการศึกษาเรื่องสิทธิและความเสมอภาคของสตรี รวมไปถึงมุ่งเน้นที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ก่อให้เกิดการสร้างความไม่เท่าเทียมทั้งต่อผู้หญิงและผู้ชายในสังคม

ตอนนี้เราต้องย้อนกลับไปตีโจทย์ใหม่กันอีกครั้ง Mulan ฉบับแอนิเมชั่นต้องการจะพูดถึงการออกรบไปแทนพ่อของตัวเองเนื่องจากพ่อตนเองแก่ชรา อย่างไรก็ตามก่อนที่ควบม้าออกไป มู่หลานได้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษเพื่อขอพร เหล่าวิญญาณบรรพบุรุษจึงประชุมหาทางช่วยว่าคงต้องส่งมังกรแดงตัวจิ๋วอย่างมูชูไปช่วยมู่หลาน

แน่นอนว่าหนังเล่นสนุกกับการปลอมตัวจากหญิงเป็นชายของมู่หลาน แต่ระหว่างทางหนังก็แทรกสอดความมานะ บากบั่นในการฝึกฝนทักษะจากผู้หญิงที่ทำอะไรไม่เป็นเลย จนเธอกลายเป็นที่ยอมรับของเหล่าทหารคนอื่นในกองทัพอย่างเอกฉันท์

ด้วยความชาญฉลาดและมากไหวพริบของมู่หลาน ทำให้กองทัพของแม่ทัพชางรอดพ้นจากการโจมตีจากเหล่าทหารฮั่น รวมไปถึงภารกิจในการปกป้องชีวิตของจักรพรรดิให้ปลอดภัย จนท้ายที่สุดฉากที่ตราตรึงที่สุดคือการที่จักรพรรดิโค้งคำนับมู่หลานในฐานะวีรสตรี รวมไปถึงข้าราชบริพารอีกนับร้อยนับพันชีวิต แม้เธอจะได้รับข้อเสนอให้รับตำแหน่งเป็นข้าราชการในวัง แต่เธอก็ปฏิเสธและอยากจะเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัว

ในขณะที่ Mulan เวอร์ชั่นปี 2020 ที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแทบทุกอย่างในเรื่องไม่ว่าจะเป็นการตัดความแฟนตาซีจ๋าออกหมด เช่น การเปลี่ยนมูชูให้กลายเป็นนกฟินิกซ์แทน การใส่ตัวละครอย่างเซี่ยนเหนียง (กงลี่) เพิ่มเข้ามา การเปลี่ยนแม่ทัพชาง ให้แยกออกเป็นสองตัวละครอย่างนายทหารเช็ง ฮงฮุย (โยสัน อัน) และแม่ทัพถัง (ดอนนี่ เยน) ซึ่งบรรดารายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้นี่เองที่เขย่าโครงสร้างทั้งหมดของเรื่องให้หนังมีความลักลั่นในตัวเองอยู่ตลอดเวลา

สำหรับเวอร์ชั่นหนังคนแสดงดูเหมือนต้องการจะปรับให้มู่หลานกลายเป็นตัวละครที่ “ร่วมสมัย” ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้มู่หลานเป็นเด็กสาวที่มีพลังลมปราณในตัวมาตั้งแต่เด็ก แต่พ่อของเขากลัวชาวบ้านจะมองว่ามู่หลานเป็นแม่มด มู่หลานจำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ดำเนินชีวิตตามธรรมนองประเพณีว่าเมื่อถึงเวลาที่พร้อม เธอจะต้องแต่งงานเพื่อออกเรือน

จนกระทั่งหนังเดินมาถึงจุดที่มู่หลานต้องแฝงตัวเข้ากองทัพ หนังก็ไม่ได้เน้นย้ำ “พัฒนาการความสามารถ” ที่ให้เรามองเห็นว่า ทำไมบรรดาชายชาติทหารคนอื่นๆถึงต้องยอมรับเธอโดยไม่มีข้อกังขา หรือจริงๆหนังเขียนบทแบบนี้มาเพื่อตอกย้ำอุดมการณ์ที่ว่าชายใดมีวรยุทธ์และลมปราณเป็นเลิศคือยอดชาย แต่หากเป็นผู้หญิงจะถูกตีตราว่าเป็นแม่มดทันทีกันแน่

เพื่อขับเน้นประเด็นนี้ให้ชัดยิ่งขึ้นการใส่ตัวละครอย่างเซี่ยนเหนียง (กงลี่) เข้ามา ก็เพื่อขยายประเด็นนี้ให้ชัดขึ้นว่าการที่ผู้หญิงเป็นคนเก่ง และมีความสามารถมากกว่าผู้ชายนั้นถือเป็นเรื่องผิดปกติ ฉากที่เซี่ยนเหนียงพยายามชักชวนให้มู่หลานร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ถือเป็นฉากหนึ่งที่จัดได้ว่าทรงพลัง จนเราแอบจินตนาการภาพตามด้วยซ้ำไปว่าถ้าหาก Mulan ที่ไม่ได้พะยี่ห้อดิสนีย์และเลือกเดินไปในทิศทาง “ผู้หญิงปฏิวัติระบบ” จะเกิดอะไรขึ้น

แต่ด้วยความพาสเจอร์ไรซ์ต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แม้ว่าหนังในเวอร์ชั่นนี้จะตัดฉากโรแมนซ์แบบประเจิดประเจ้อทิ้ง แต่ความห้วนกุดในหลายอย่าง ยิ่งทำให้การช่วยชีวิตจักรพรรดิในเวอร์ชั่นล่าสุดเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ (จักรพรรดิในเวอร์ชั่นนี้เป็นพวกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขับไล่ชาวฮั่นทำสงครามอย่างอาฆาตมาดร้าย ไม่ได้เห็นความมีเมตตาหรือความเป็นคนดีในตัวละครนี้แม้แต่น้อย) ยิ่งฉากที่มู่หลานต้องต่อสู้กับโบรี่ ข่าน (เจสัน สก็อตต์ ลี) ยิ่งทำให้เราเห็นว่า จักรพรรดิองค์นี้เห็นมู่หลานเป็นแค่เพียงทหารคนหนึ่งที่มีหน้าที่ถวายชีวิตของเธอให้กับชายที่มีอำนาจล้นพ้นแผ่นดิน แต่อ้างตัวว่าทำเพื่อประเทศจีน!

ฉากจักรพรรดิก้มหัวให้มู่หลานจึงไม่ปรากฏอยู่ในเวอร์ชั่นล่าสุด แต่มู่หลานยังต้องก้มคำนับในท้องพระโรงแบบหนังจักรๆวงศ์ๆของจีนแทน ยิ่งทำให้เห็นว่า ต่อให้ Mulan ในเวอร์ชั่นล่าสุดจะชูโรงประเด็นเฟมินิสต์แค่ไหน แต่เมื่อมันมาอยู่ในโลกของความเป็นประวัติศาสตร์ (ที่แฟนตาซีน้อยลงแล้ว) ก็ยากเหลือเกินที่จะลบล้างสังคมชายเป็นใหญ่ในยุคจีนโบราณไปให้หมดสิ้น

Mulan ในเวอร์ชั่นล่าสุดจึงเป็นความพยายามชูประเด็นร่วมสมัย แต่ลักลั่นเหลือทนในการนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดให้ออกมาเป็นเนื้อเดียวกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook