แคนนอนตลุยเซี่ยงไฮ้ ผลพลอยได้ตลาดไทย
จากสนามบินเซี่ยงไฮ้ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ใช้เวลาโดยสารด้วยรถยนต์กว่า 40 นาทีจึงถึงใจกลางเมือง แต่ถ้าเป็นรถไฟหัวกระสุน MagLev (ที่ไกด์จีนมักออกเสียงเป็น Make Love ทำเอาลูกทัวร์ขำกลิ้งกันเป็นแถว) เสียเงิน 75 หยวน หรือประมาณ 375 บาท ด้วยความเร็วสูงสุด เกือบ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็จะใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที แต่ขอโทษดูเหมือนคนจีนมักไม่นิยมใช้ เพราะรู้สึกว่ามันแพงเกินไปนั่นเอง
ทันทีที่เข้าเมือง บอกได้เลยว่าสิ่งแรกที่คุณจะเห็นตอนนี้และจากนี้ไปอีกหลายปีก็คือ เครนก่อสร้าง ไม่รู้ว่าเมืองนี้จะสร้างอะไรกันนักกันหนา อพาร์ทเมนท์ หรือแฟลต ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดก่อนที่จะเข้าเมือง ยิ่งเข้าไปในเมืองจะเห็นว่าบ้านเรือนเก่าๆ กำลังถูกทุบทิ้ง และโยกย้ายคนออกมาอยู่ในสถานที่สร้างใหม่
เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจที่สร้างโอกาสทำเงินได้มากกว่าเข้าไปจับจองพื้นที่แทน ผมว่าเป็นเพราะรัฐบาลควบคุมได้อยู่หมัดก็เลยทำได้ แต่นักวิชาการหลายคนก็เตือนมาว่า สาเหตุนี้แหละที่ทำให้ฟองสบู่จีนอาจแตกได้ เพราะคนจีนทุ่มทรัพยากรไปกับการก่อสร้างมากมายเหลือเกิน
ขณะที่รัฐบาลจีนโหมทุ่มงบประมาณก็เท่ากับสร้างเงินให้เกิดขึ้นในระบบ คนที่นั่นมีเงินใช้แบบที่รายได้เกือบเท่ากับเมืองที่เจริญๆ ในประเทศโลกที่หนึ่ง ขณะเดียวกันค่าครองชีพของที่นี่นั้นกลับมีสองระดับ ก็คือถ้าหากเดินเข้าห้างซื้อของแบรนด์เนม โก้หรู จากต่างประเทศ ราคาก็จะแพงหูฉี่ แต่ถ้าไม่สนใจว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่ made in china แล้วหละก็เมื่อเทียบกับเงินบ้านเราต้องถือว่าถูกมากๆ เลยทีเดียว
แต่มาตรฐานนี้อย่าไปเทียบกับเมืองอื่นๆ นะครับ เพราะเมืองที่รายได้มากๆ ก็มีเพียงเซี่ยงไฮ้ กับปักกิ่งเท่านั้นหรอก ที่เหลืออีกหลายเมืองค่าครองชีพแทบจะเท่ากับประเทศที่แย่ที่สุดในโลกที่สามก็มี
หากมองมาที่สินค้าไอที ต้องบอกเลยว่ามีสองระดับเช่นเดียวกัน นั่นคือของแท้มีขาย ขณะที่ของปลอมก็เกลื่อนเมือง กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ผลิตสินค้าไอทีทั้งหลายต้องคิดหนัก และต้องวางกลยุทธ์ที่ดีเพียงพอรองรับ ไม่อย่างนั้นทำไปทำมาสินค้าของตนก็จะหายไปจากท้องตลาด เหลือแต่สินค้าปลอมที่เหมือนกันแบบแพะกับแกะเลยทีเดียว
มิสเตอร์ ฟูจิโอ มิตาไร ที่เป็นประธานใหญ่ของแคนนอน (สปอนเซอร์การเดินทางไปทำข่าวครั้งนี้ของผม) พูดตอนเปิดงานแคนนอน เอเชีย เอ็กซ์โปร 2004 ที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาว่า เอเซียคือเป้าใหญ่ที่แคนนอนจับตามองตลอดมา โดยเฉพาะที่จีนแห่งนี้ จากการลงทุนของแคนนอนเองนับดูแล้วตอนนี้คนงานที่มีอยู่มีมากถึง 20,000 คน เนื่องจากแคนนอนพยายามให้เป็นภูมิภาคที่มีโรงงานของแคนนอนไปตั้งอยู่ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงโรงงานผลิตกล้องดิจิตอล พรินเตอร์ หรือผลิตภัณฑ์ออฟฟิศเทคโนโลยี
เมื่อปีที่แล้วแคนนอนเข้ามาตั้งสำนักงานการตลาดทั่วประเทศจีนถึง 15 แห่ง และปีนี้ก็จะเพิ่มเติมเข้าไปอีก โดยเฉพาะการตั้งสำนักงานสาขาใหญ่ขึ้นมาดูแลสำนักงานการตลาดเหล่านี้อีกที ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการรองรับความต้องการสินค้าที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนนั่นเอง
แม้จะพูดสั้นๆ แต่ดูเหมือนคุณมิตาไรจะประกาศชัดเจนว่า แคนนอนเอาจริงกับประเทศจีนอย่างมาก เพราะการลงทุนทั้งโรงงานและสำนักงานแต่ละปีไม่ใช่น้อยๆ เลย
ก็จะไม่ลงทุนได้อย่างไร มาดูตัวเลขยอดขายของแคนนอนแล้วถึงบางอ้อ ครึ่งแรกของปี 2003 ที่ปัญหาโรคซาร์สรุมเร้าจนดูเหมือนเศรษฐกิจน่าจะขับเคลื่อนไปได้ไม่ดี ปรากฏว่ายอดขายของแคนนอนยังสูงกว่า 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แปลว่าต่อให้ภูเขาถล่ม ดินทลาย ก็ดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่เสียแล้ว พอมาดูยอดขายของไตรมาสแรกของปีนี้ คือ 2004 ก็มากกว่า 36% ของยอดขายปีที่แล้ว แคนนอนเชื่อว่าเอเชียและจีนนี่แหละที่กำลังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่แท้จริง
คุณโยโรกุ อะดาจิ ซึ่งเป็นประธานของแคนนอนในภูมิภาคนี้ออกมาประกาศท่ามกลางตัวแทนจำหน่ายของแคนนอนนั่งกันอยู่แน่นขนัดในห้องประชุมที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ว่า ยุทธศาสตร์ของแคนนอนในปีนี้มี 4 ข้อ
ข้อแรกก็คือ สินค้าใหม่ที่จะออกในภูมิภาคนี้จะไม่ล้าหลัง และแคนนอนพร้อมที่จะเอาสินค้าระดับไฮเอนต์ที่เคยเน้นแต่ตลาดอเมริกาและยุโรปมาเร่งทำตลาด ข้อนี้ดูเหมือนประเทศไทยจะชัดเจนเหลือเกิน เพราะจากปีที่แล้วถ้าสังเกตดูให้ดีสินค้าประเภทกล้องดิจิตอลในบ้านเราเช่น a70 หรือ a80 ของแคนนอนนั้นขาดตลาดตลอด ทั้งที่เป็นสินค้าระดับกลางเท่านั้น สาเหตุก็เพราะการคาดการณ์ตลาดของแคนนอนจากบริษัทแม่ที่สิงคโปร์ผิดพลาด จึงไม่มีของพอกับความต้องการ
ความจริงเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องเงียบๆ แต่สร้างผลกระทบค่อนข้างสูง ลองคิดดูว่ามีความต้องการซื้อของ แต่ของไม่มีขาย คราวนี้ก็เปิดช่องให้บรรดาของหิ้วจากต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกัน อาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย ปัญหาที่ตามมาก็คือ เรื่องภาษีที่รัฐควรจะได้ ตามมาด้วยการที่แคนนอนเองก็ต้องตั้งศูนย์รองรับการดูแลเครื่อง เพราะหากเครื่องมีปัญหาแล้วไม่มีใครดูแล แบรนด์ของแคนนอนก็จะเสียไป ทั้งที่งบประมาณในส่วนนี้มันจะต้องสมดุลกับยอดขายในเมืองไทย แต่เมื่อตัวเลขนี้มันผิดเพี้ยน แค่นี้ก็คาดการณ์กันไม่ได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ดังนั้นนโยบายข้อนี้ก็น่าจะเข้ามาอุดช่องว่างและทำให้บรรดาตัวแทนจำหน่ายทั้งหลายพอจะยิ้มออกได้บ้าง
ยิ่งการนำตัวใหญ่เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ยิ่งทำให้ตลาดน่าสนุกขึ้นไปอีก อย่างตอนนี้แคนนอนเพิ่งออกตัวกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่คือ Digital SLR EOS 1D Mark II ซึ่งเป็นกล้องดิจิตอลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ความละเอียดสูง และแทบจะให้ความรู้สึกเหมือนกับกล้องฟิล์ม ถือเป็นรุ่นในฝันของช่างภาพมืออาชีพเลยทีเดียว แต่พอเปิดตัวในเมืองไทย แม้จะมีการจัดแถลงข่าว แต่ขอโทษกล้องตัวนี้ยังไม่มีให้ยลโฉมกัน ต้องร้องเพลงรอไปอีกหลายเดือน แต่ที่เซี่ยงไฮ้มีขายแล้ว
กลยุทธ์ข้อสองก็คือ แคนนอนจะโหมสร้างแบรนด์ของตนเองอย่างหนักในปีนี้ และจะต้องมีการจัดการองค์กรรองรับที่เหมาะสม อย่างเช่นมีการรวมกันของสำนักงานการตลาดเข้ากับสำนักงานใหญ่ในประเทศ รวมเรื่องการตลาดกับเรื่องการจัดการเข้าด้วยกัน เชื่อได้ว่าปีนี้แคนนอนน่าจะทุ่มงบโฆษณาไม่อั้น ไม่รู้ว่าคู่แข่งรายอื่นจะคิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ตัวแทนจำหน่ายบอกตรงกันว่าการประกาศอย่างนี้เท่ากับสร้างความมั่นใจที่จะอยู่กับแคนนอนไปนานๆ เพราะการขายสินค้าใดสักตัวไม่ใช่ซื้อมาขายไป โดยเฉพาะสินค้าไอที มันต้องลงทุนทั้งคนและทั้งเงินมากมาย
กลยุทธ์ข้อสามก็คือ แคนนอนจะสร้างระบบเครือข่ายการจำหน่ายสินค้าให้เป็นระบบที่แข็งแรง พร้อมกันนั้นก็ประกาศข้อสี่คือ คู่แข่งทั้งหลายเตรียมตัวได้เลยเพราะปีนี้แคนนอนจะเดินแผนเชิงรุก หรือ aggressive จะไม่มีแนว conservative หรืออนุรักษ์นิยม ขายของไปวันๆ เหมือนที่เคยเป็นมา ไอ้ประเภทผลิตสินค้ามายังไงก็ขายได้ ดังนั้นการตลาดไม่ต้องทำอะไรมากนัก อย่างนี้ไม่มีให้เห็นแน่
พนักงานขายที่มีอยู่ประมาณ 200 คน ปีนี้จะได้เห็นตัวเลข 600 คนแน่นอน อย่างนี้ถ้าระบบบริการหลังการขาย และระบบจัดส่งสินค้า และอื่นๆ ไม่รองรับการขายของเซลเหล่านี้ก็รากเลือดเหมือนกัน รับรองว่าตัวเลขที่เห็นนั้นมากกว่าที่บอกแน่นอน
ดูๆ ไปจากยุทธ์ศาสตร์ของแคนนอนที่มีต่อประเทศจีนอย่างนี้แล้ว ก็หวังว่าไทยเราคงได้อานิสงค์ไปกับเขาบ้าง แม้จะอิจฉาตาร้อนอย่างมาก เช่นเดียวกับนักข่าวอินเดียที่ออกมาประท้วงกลายๆ ว่า หากเมืองจีนมีปัญหาเรื่องการลงทุน เรื่องการปลอมสินค้า แล้วไปลงทุนทำไม อินเดียก็คนเท่ากับจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจก็ไม่น้อยหน้า มาอินเดียเถอะ
ความจริงเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เอาไว้ฉบับหน้าจะมาเล่าแบบละเอียดให้ฟังว่า ปัญหาของจีนคืออะไร และทำไมอินเดียถึงเบรกแตกออกมาอย่างนี้
ขอขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์