มือถือแอบฟังเราจริงไหม? ทำไมยิงโฆษณาสินค้าแม่น แค่เราพูดถึง หรือบางทีแค่"นึกถึง"

มือถือแอบฟังเราจริงไหม? ไขข้อสงสัย ทำไมยิงโฆษณาแม่นเหมือนรู้ใจ
หลายคนคงเคยเจอประสบการณ์น่าขนลุก เมื่อเพิ่งพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการบางอย่าง ไม่นานหลังจากนั้น โฆษณาเกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียทันที จนเกิดคำถามยอดฮิตว่า "มือถือแอบฟังเราอยู่หรือเปล่า?"
คำตอบสั้นๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (เช่น Meta และ Google) ต่างยืนยันตรงกันว่า "ไม่" แอปพลิเคชันไม่ได้เปิดไมโครโฟนเพื่อดักฟังบทสนทนาส่วนตัวของคุณตลอดเวลาเพื่อยิงโฆษณา
แต่ความจริงที่ว่าทำไมโฆษณาถึงยิงได้แม่นยำขนาดนี้ อาจน่ากลัวกว่าการถูกแอบฟังเสียอีก
ถ้าไม่ได้ "แอบฟัง" แล้วแอปฯ รู้ได้อย่างไร?
สาเหตุที่โฆษณารู้ใจเราขนาดนี้ มาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลมหาศาล (Data Collection) และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน (Data Analysis) ต่างหาก สิ่งที่แอปฯ เหล่านี้ติดตามเรา มีดังนี้:
- ประวัติการค้นหา (Search History): สิ่งที่คุณค้นหาใน Google หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ คือตัวบ่งชี้ความสนใจที่ชัดเจนที่สุด
- กิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย: ทุกการกดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ กลุ่มที่เข้าร่วม เพจที่ติดตาม หรือแม้แต่เวลาที่คุณหยุดดูวิดีโอหรือรูปภาพใดนานเป็นพิเศษ จะถูกนำไปวิเคราะห์ทั้งหมด
- ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ (Location Data): การที่คุณเดินทางไปที่ไหนบ่อยๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ หรือโชว์รูมรถยนต์ ข้อมูล GPS เหล่านี้สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังสนใจอะไร
- การใช้งานแอปฯ อื่นๆ: หลายแอปฯ มีการเชื่อมโยงข้อมูลกัน (เช่น การล็อกอินด้วย Facebook หรือ Google) ทำให้พวกเขารู้ว่าคุณใช้แอปฯ อะไร สั่งอาหารอะไร หรือซื้อของออนไลน์จากที่ไหน
- พิกเซลติดตาม (Tracking Pixels): โค้ดขนาดเล็กที่ฝังอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่คุณเข้าชม ทำหน้าที่รายงานกลับไปยังแพลตฟอร์มโฆษณาว่าคุณได้เข้าชมเว็บนี้ หรือสนใจสินค้าชิ้นนี้
- ข้อมูลจากเพื่อนและคนรอบข้าง: อัลกอริทึมยังวิเคราะห์เครือข่ายสังคมของคุณด้วย หากเพื่อนสนิทของคุณหลายคนกำลังสนใจ "ทริปเที่ยวญี่ปุ่น" ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะสนใจด้วย โฆษณาจึงอาจถูกส่งมาให้คุณเช่นกัน

ปรากฏการณ์ "คิดปุ๊บ โผล่ปั๊บ"
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกว่าถูกแอบฟัง คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "อคติเพื่อยืนยัน" (Confirmation Bias) และ "ปรากฏการณ์บาดเดอร์-ไมน์ฮอฟ" (Baader-Meinhof Phenomenon) หรือการที่เราเพิ่งรู้จักหรือนึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วจะเริ่มสังเกตเห็นสิ่งนั้นบ่อยขึ้นรอบตัว
ในความเป็นจริง โฆษณานั้นอาจแสดงให้คุณเห็นอยู่แล้วหลายครั้ง แต่สมองของคุณเพิ่งจะมาให้ความสนใจมันอย่างจริงจัง หลังจากที่คุณเพิ่งพูดถึงมันนั่นเอง
แล้วสิทธิ์ "เข้าถึงไมโครโฟน" ที่แอปฯ ขอไปล่ะ?
แอปฯ ต่างๆ ขอสิทธิ์เข้าถึงไมโครโฟนเพื่อการใช้งานที่จำเป็น เช่น การโทรศัพท์ การส่งข้อความเสียง การใช้คำสั่งเสียง (เช่น "Hey Siri" หรือ "Hey Google") หรือการอัดวิดีโอ
การที่แอปฯ จะบันทึกเสียงบทสนทนาของคุณตลอด 24 ชั่วโมง แล้วส่งกลับไปวิเคราะห์บนเซิร์ฟเวอร์นั้น ใช้พลังงานการประมวลผลและพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหลายประเทศ จึงมีความเสี่ยงสูงและไม่คุ้มค่าสำหรับบริษัทเทคโนโลยี
วิธีจำกัดการติดตามโฆษณาเบื้องต้น
แม้เราจะไม่ถูกแอบฟัง แต่เราก็ถูกติดตามข้อมูลส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา หากคุณรู้สึกไม่สบายใจ สามารถตั้งค่าเพื่อลดการติดตามเหล่านี้ได้:
- ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปฯ (App Permissions): เข้าไปที่การตั้งค่าของมือถือ และตรวจสอบว่ามีแอปฯ ใดขอสิทธิ์เข้าถึงไมโครโฟนโดยไม่จำเป็นหรือไม่
- จำกัดการติดตามโฆษณา (Limit Ad Tracking):
- ใน iOS: ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย > การติดตาม > ปิด "อนุญาตให้แอปขอติดตาม"
- ใน Android: ไปที่ การตั้งค่า > Google > โฆษณา > ลบรหัสโฆษณา
- จัดการข้อมูลใน Facebook/Google: เข้าไปที่การตั้งค่าโฆษณา (Ad Preferences) ของแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อเลือกลบหัวข้อความสนใจที่พวกเขาใช้ยิงโฆษณาหาคุณ
สรุป: ไม่ได้แอบฟัง แต่ "วิเคราะห์" เก่งมาก
สรุปได้ว่า มือถือไม่ได้แอบฟังเรา เพื่อยิงโฆษณา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อัลกอริทึมการโฆษณายุคใหม่นั้นฉลาดล้ำและมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรามหาศาล จนสามารถ "คาดเดา" ความต้องการของเราได้อย่างแม่นยำ ราวกับว่าพวกเขานั่งอยู่ในวงสนทนาของเราด้วยนั่นเอง
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี



