สาย USB Type C Apple กับ Android ต่างกันอย่างไร ใช้ร่วมกันได้ไหม

ตั้งแต่ iPhone เริ่มใช้ USB-C ตั้งแต่ iPhone 15 ทำให้คนใช้งานมือถือก็อยากลองสายของ Apple เพื่อหวังว่าจะหาความทนทานโดยเฉพาะสายถักที่ขึ้นชื่อของค่ายนี้ แต่ก็มีความจำที่หลายคไม่รู้ซ่อนอยู่กับสายที่มีราคาเกือบพันบาท ซ่อนอยู่!! วันนี้ Sanook Hitech มาเฉลยเรื่องนี้ให้คุณได้รู้ก่อนซื้อสาย USB-C จาก Apple ว่าใช้กับมือถือ Android ได้ทุกกรณีไหม
สาย USB-C ของ Apple จะใช้งานกับอุปกรณ์อื่นได้ไหม
สำหรับเรื่องแรกที่จะมาเคลียร์ให้เข้าใจคือ พื้นฐานแล้วคุณสามารถเอาสาย USB-C ของ Apple ไปชาร์จมือถือ Android หรือเอาสายของ Android มาชาร์จ iPhone 15 ได้ แต่ ประสิทธิภาพที่ได้ ทั้งความเร็วในการชาร์จและความเร็วในการโอนข้อมูล อาจจะไม่เหมือนกันเสมอไป!
มาตรฐานของ USB-C
USB-C เป็นเหมือน "ปลั๊กไฟ" ครับ คือเป็นหัวต่อที่มีหน้าตาและรูปทรงเป็นมาตรฐานสากล ใครๆ ก็ทำปลั๊กหน้าตาแบบนี้ได้ แต่สิ่งที่วิ่งผ่านปลั๊กไฟนั่นแหละครับที่แตกต่างกัน บางเส้นอาจจะส่งได้แค่ "ไฟ" (การชาร์จ) บางเส้นส่ง "ข้อมูล" ได้เร็วปรื๊ด และบางเส้นทำได้ทุกอย่างแบบโปรๆ
สาย USB-C ก็เหมือนกันครับ แม้หัวต่อจะเหมือนกัน แต่ "เทคโนโลยี" ที่อยู่ข้างในสายแต่ละเส้นนั้นแตกต่างกันได้ ซึ่งหลักๆ จะมีอยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ
ความเร็วในการโอนข้อมูล
- สาย USB-C ทั่วไป (ที่แถมมากับมือถือส่วนใหญ่): สายที่แถมมากับ iPhone หรือมือถือ Android หลายๆ รุ่น มักจะเป็นสเปก USB 2.0 ซึ่งโอนข้อมูลได้ที่ความเร็วประมาณ 480 Mbps ครับ เหมาะกับการชาร์จไฟ แต่ถ้าจะย้ายไฟล์วิดีโอ 4K ใหญ่ๆ บอกเลยว่ารอกันเหงือกแห้ง!
- สาย USB-C สเปกสูง ในขณะที่สาย USB-C ที่รองรับ USB 3, USB 4 หรือ Thunderbolt (อย่างที่ใช้กับ iPhone 15 Pro, Mac หรือ SSD รุ่นโปร) จะสามารถโอนข้อมูลได้เร็วกว่ามหาศาล ตั้งแต่ 5 Gbps ไปจนถึง 40 Gbps หรือเร็วกว่า 80 เท่า!

ความเร็วในการชาร์จ
สาย USB-C ส่วนใหญ่ในปัจจุบันรองรับเทคโนโลยี Power Delivery (PD) ที่ทำให้ชาร์จไฟได้เร็วสูงขึ้นและเหมาะกับอุปกรณ์ที่คุณใช้งานโดยคุณดู
- สายบางเส้นอาจจะรองรับไฟได้สูงสุดแค่ 60W ซึ่งเพียงพอสำหรับมือถือและแท็บเล็ตทั่วไป
- แต่ถ้าคุณจะเอาไปชาร์จโน้ตบุ๊กอย่าง MacBook Pro ที่ต้องการไฟ 100W หรือมากกว่า การใช้สายที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะทำให้ชาร์จช้ามาก หรือชาร์จไม่เข้าเลย!
แต่ก็จะมี USB-C อีกแบบที่รองรับมาตรฐานการชาร์จที่สูงเช่นมือถือจีนที่ลืมการชาร์จของมือถือกลุ่มมาตรฐาน เช่น
- HUAWEI SuperCharge: เน้นการใช้กระแสไฟ (แอมป์ - A) สูง แต่แรงดันไฟ (โวลต์ - V) ไม่สูงมากนัก เพื่อลดความร้อนที่ตัวเครื่องขณะชาร์จ
- vivo FlashCharge / iQOO FlashCharge: เป็นอีกค่ายที่พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่อง มีทั้งแบบที่ใช้แรงดันไฟสูง และแบบใช้เซลล์แบตเตอรี่คู่เพื่อรับกำลังไฟสูงๆ พร้อมกัน
- Xiaomi HyperCharge: เจ้าพ่อแห่งตัวเลขวัตต์สูงๆ อย่าง 120W หรือแม้กระทั่ง 210W! เทคโนโลยีของ Xiaomi มักจะใช้ "Charge Pump" และการจัดการพลังงานที่ซับซ้อนภายในตัวเครื่อง เพื่ออัดไฟกำลังสูงๆ เข้าไปในเวลาสั้นๆ

ทั้งนี้การชาร์จไฟเร็วก็ขึ้นกับหัวชาร์จ (Adapter) ว่าต้องเหมาะสมกับการใช้งานของเราด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเราเลือกมาไม่ตรงกับมาตรฐานของมือถือที่อรงรับก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
แล้วเลือกสายของ Apple ดีไหม?
กลับมาคำถามว่าสาย Apple ดีกว่าจริงหรือไม่ คำตอบชัดๆ คือสายของ Apple ได้มาตรฐานที่ดีและเชื่อถือได้ ในสเปกที่เขาระบุไว้ครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสายจากแบรนด์อื่นจะดีสู้ไม่ได้นะ! ปัจจุบันมีผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมมากมายที่ทำสาย USB-C คุณภาพสูง สเปกเทพ ในราคาที่จับต้องได้มากกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเอาชื่อยี่ห้อ หรือคุณภาพ สุดท้ายคุณต้องเลือกเอง
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี


