เจาะลึก "Happy" หุ่นยนต์ 5G โดย True Digital Group ผู้ช่วยแพทย์ในสมรภูมิมะเร็งไทรอยด์

ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม วงการแพทย์ก็เช่นกัน True Digital Group ได้จับมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พัฒนา "Happy" หุ่นยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 5G เพื่อเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีนสำเร็จเป็นครั้งแรกในไทย โดยไม่ได้เป็นเพียงโปรเจกต์ต้นแบบ แต่มีการนำไปใช้งานจริงแล้ว
โจทย์ตั้งต้น แก้ปัญหาด้วยหลักการ 3D ของ Robotics
คุณสุริยา ก้อนคำ หัวหน้าทีมสร้างหุ่นยนต์ของ True Digital Group เผยว่าโปรเจกต์นี้ตอบโจทย์หลักการพัฒนากลุ่มหุ่นยนต์ 3D อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือ Dirty (งานสกปรก), Dull (งานซ้ำซาก) และ Dangerous (งานอันตราย)
เนื่องจากการรักษามะเร็งไทรอยด์ด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงสูงต่อบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่การขนย้ายกล่องตะกั่วบรรจุยาที่หนักถึง 7 กก. ซึ่งสารรังสีจะแผ่ออกมาทันทีที่เปิดออก ไปจนถึงรังสีที่ตกค้างในห้องหรือแผ่ออกมาจากตัวผู้ป่วยเอง การนำหุ่นยนต์เข้ามาจึงเป็นโซลูชันที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของบุคลากรได้อย่างมหาศาล
จากสมรภูมิโควิด-19 สู่การพัฒนาหุ่นยนต์เฉพาะทาง
รากฐานของหุ่นยนต์ "Happy" มาจากการต่อยอดประสบการณ์ในสถานการณ์จริง โดย 5 ปีก่อน ทีมได้พัฒนา Robots As a Service แต่เมื่อเกิดการระบาดของ Covid-19 จึงได้มีการนำหุ่นยนต์ส่งของเชิงพาณิชย์มาประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลสนามขนาด 400 เตียง โดยเพิ่มฟังก์ชัน Telemedicine สำหรับส่งยาและสอบถามอาการ ซึ่งทีมงานใช้เวลาเพียง 2 คืนในการทำ Mapping ให้หุ่นยนต์วิ่งบริการได้ครบทุกเตียง ประสบการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นต้นทุนสำคัญในการพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
เบื้องหลังทางเทคนิค: เมื่อ Hardware และ 5G ต้องทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ
การพัฒนาหุ่นยนต์ "Happy" ใช้เวลาร่วม 1 ปี โดยมี challange ทางวิศวกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง
- Hardware Overhaul: ทีมงานเริ่มต้นจากการนำแชสซี (Chassi) ของหุ่นยนต์ส่งของมาถอดรื้อโครงสร้างใหม่ทั้งหมด เนื่องจากหุ่นยนต์ส่งของทั่วไปไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักที่กดลงจุดเดียวอย่างกล่องตะกั่วบรรจุยารังสี ทีมจึงต้องเสริมล้อและเปลี่ยนกลไกใหม่ทั้งหมด และทำการทดสอบการรับน้ำหนักซ้ำๆ นับพันครั้งเป็นเวลากว่า 2 เดือนเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุด
- 5G & Connectivity: การควบคุมหุ่นยนต์ผ่านแท็บเล็ต, การทำ Telemedicine และการส่งข้อมูลสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ไปยังระบบคลาวด์ ล้วนต้องอาศัยเครือข่าย 5G ที่มีความเสถียรและความเร็วสูง แต่ความท้าทายที่สุดคือห้องพักผู้ป่วยที่บุด้วยตะกั่วหนา 1 ซม. เพื่อป้องกันรังสี ซึ่งเทียบเท่ากำแพงอิฐหนา 1 เมตร ทำให้สัญญาณเข้าถึงได้ยากมาก
- The Solution: เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมจึงทำการติดตั้ง Cell Site ขนาดเล็กภายในห้องพักผู้ป่วยโดยเฉพาะ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ฟังก์ชันที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี
หุ่นยนต์ "Happy" ถูกพัฒนาขึ้นจากกระบวนการ Design Thinking โดยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมแพทย์และทีมวิศวกร จนเกิดเป็นหุ่นยนต์ที่มี 4 ฟังก์ชันหลัก
- ขนส่ง: ลำเลียงสารรังสีไอโอดีน, ยา, เวชภัณฑ์ และอาหาร
- Telemedicine: ผู้ป่วยและแพทย์สามารถพูดคุยปรึกษากันผ่านวิดีโอคอลความละเอียดสูง รวมถึงให้ผู้ป่วยใช้พูดคุยกับครอบครัวได้
- วัดและบันทึกสัญญาณชีพ: เชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อวัดค่าต่างๆ เช่น ชีพจร, ความดัน และส่งข้อมูลเข้าระบบแบบเรียลไทม์
- สำรวจรังสี: ติดตั้งไกเกอร์มิเตอร์เพื่อตรวจวัดการเปรอะเปื้อนของรังสีในพื้นที่ต่างๆ และแสดงผลเป็นแผนที่ความร้อน (Heat Map) ของห้อง

มากกว่าแค่เทคโนโลยี: Humanize Design และอนาคตของ Companion Bot
นอกเหนือจากฟังก์ชันการทำงาน ทีมพัฒนายังให้ความสำคัญกับแนวคิด "Humanize" ตัวหุ่นยนต์ถูกออกแบบให้เป็นรูปแมว ใช้ชื่อว่า "Happy" เพื่อลดความกังวลและเยียวยาจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งผลตอบรับจากผู้ป่วยและครอบครัวชี้ว่า พวกเขาสบายใจขึ้นที่บุคลากรไม่ต้องเสี่ยง และหุ่นยนต์ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่สดใสขึ้นในห้องพัก
ปัจจุบันหุ่นยนต์ "Happy" มีใช้งานจริง 3 ตัวในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และได้รับรางวัลการันตีความสำเร็จมากมาย รวมถึงรางวัล Chairman Award ในงาน CP Innovation & Symposium 2025 และรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2567
คุณสุริยาทิ้งท้ายถึงความฝันสูงสุดของเขา คือการสร้าง "Companion Bot" ผู้ช่วยส่วนตัวที่ผสานเทคโนโลยี AI และ Physical AI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เป็นทั้งเพื่อนและผู้ช่วยของมนุษย์ในชีวิตประจำวันที่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายในอนาคต
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี



