รีวิว Nothing Headphone (1) หูฟังสวมใหม่ สเปกจัดเต็ม!

กลับมาพบกับรีวิวจาก Sanook Hitech อีกครั้ง รอบนี้ใครเป็นคอหูฟัง Headphone ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร แต่คุณภาพเสียงต้องดี! ในราคาสมเหตุผล วันนี้พบกับ Nothing Headphone (1) หูฟังใหม่ที่มีการจับมือกับ KEF อีกแบรนด์เครื่องเสียงที่มีคุณภาพจากอังกฤษ สร้างสรรค์หูฟังนี้ออกมา ในราคาที่ใช่สำหรับคุณ แต่จะดีจริงไหมมาดูกันเลยได้
สำหรับการแกะกล่องสามารถอ่านต่อได้ที่ : แกะกล่องก่อนรีวิว Nothing Headphone (1) หูฟังอินดี้สเปกแน่นๆ
Nothing Headphone (1) ข้อดี / ข้อสังเกต
| จุดเด่น | ข้อสังเกตุ |
| ออกแบบสวยไม่เหมือนใคร | น้ำหนักเยอะ |
| เสียงดีทั้งฟัง และ ใช้คุย | กระเป๋าเก็บเปื้อนและทำความสะอาดยาก |
| Apps ลูกเล่นเยอะปรับได้ครบ | บริเวณครอบหูเป็นรอยง่าย |
| แบตเตอรี่อึดมาก | |
| ไม่ทิ้งช่องเสียบ 3.5 มม. |
ดีไซน์ / การสวมใส่ Nothing Headphone (1)

ก่อนอื่นเรามาพูดถึงการออกแบบ Nothing Headphone (1) เป็นหูฟังที่มีขนาดใหญ่มีการออกแบบที่โดดเด่น โดยใช้แนวคิด "Transparent Design" หรือ "การออกแบบที่โปร่งใส"ในการออกแบบนี้คือการเผยให้เห็นส่วนประกอบและโครงสร้างภายในของอุปกรณ์ ซึ่งเป็นความตั้งใจของแบรนด์ที่จะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับเทคโนโลยีให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยมีหลักการสำคัญ 3 ข้อ คือ
-
Weightless (ไร้น้ำหนัก): การออกแบบจะตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อมุ่งเน้นที่ฟังก์ชันการใช้งานหลักอย่างแท้จริง
-
Effortless (ไม่ซับซ้อน): สร้างประสบการณ์ที่ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
-
Timeless (เหนือกาลเวลา): การออกแบบที่เรียบง่ายแต่โดดเด่น ไม่ยึดติดกับกระแสแฟชั่นเพียงชั่วคราว

โดยกรอบหูฟังเป็นแบบใสและยังสามารถสั่งงานด้วยการกดปุ่มที่อยู่ด้านข้างรอบตัว เพราะไม่ต้องการให้ปุ่มไปอยู่ที่อยู่ในจุดในการออกและดูไม่สวยงาม ที่เห็นหูฟังใหญ่ขนาดนี้เพราะมีขนาด Driver 40 mm. และยังมาพร้อมกับนวมที่มีความแน่นกำลังดี การแยกฝั่ง จริงใจมาก เพราะใช้คำว่า Left และ Right พอร์ตมาครบจะประกอบด้วย
- ฝั่งขวา : ปุ่มควบคุม (ปรับระดับเสียง, เล่นเพลง, ควบคุมระบบ ANC), ปุ่มเปลี่ยน Track พอร์ตครบทั้งUSB-C, AUX 3.5 mm. และยังมีปุ่ม เปิด / ปิดด้านล่างด้วย พร้อมกับไมโครโฟนทั้งหมด 3 จุดและด้านหน้าจะมีปุ่มสั่งงานที่ตั้งค่าตามที่คุณต้องการได้จากใน Apps Nothing X
- ฝั่งซ้าย : ไม่มีปุ่มแต่จะมีไมโครโฟน 3 ตัว เท่ากับหูฟังนี้จะมีไมโครโฟน 6 ตัว
Nothing Headphone (1) จะมี 2 สีคือ สีขาว และ ดำ แต่ข้อสังเกตคือ นวมที่สัมผัสกับร่างกายทั้งหมดเป็นสีดำ

พูดดีไซน์จบไปแล้ว มาถึงการหยิบสวมใส่กันต้องบอกว่าหูฟัง Nothing Headphone (1) มีน้ำหนัก 329 กรัม เห็นตัวเลขต้องบอกว่า ค่อนข้างมาก แต่ด้วยการออกแบบค่อนข้างสมส่วนทำให้เวลาใส่ใช้งานนานๆ แล้วไม่ปวดคอเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ต้องบอกต่อไปนี้คือ เหงื่อถ้าเจออากาศร้อนก็จะเก็บเหงื่อนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะเข้าไปที่ลำโพง เพราะจากที่ได้ทดลองใช้งานข้างนอกนานๆ เหงื่อจะอยู่บริเวรรอบๆ กับมาตรฐานกันน้ำ IP52 เท่ากับหูฟังในกลุ่มนี้ที่มักจะทำได้เท่านี้
ฟีเจอร์โดดเด่นของ Nothing Headphone (1)
คุณภาพเสียงและไมโครโฟน
พูดถึงเรื่องเสียงกันบ้างสำหรับ Nothing Headphone (1) ได้ Driver 40 มิลลิเมตร ปรับจูนโดย KEF ที่เหมาะกับการฟังแบบสมดุลมากกว่า แต่ถ้ารุ่นนี้ดีเพราะว่ามีการปรับเบสได้เยอะขึ้น แนะนำว่า เพิ่มสัก 2 พอครับ และนอกจากนี้ข่าวดี สำหรับผู้ใช้ Android ที่มีไฟล์เพลงคุณภาพสูงหรือใช้บริการสตรีมมิ่งที่รองรับ จะสามารถฟังเพลงในระดับ Hi-Res Audio ผ่าน Codec LDAC ได้ ทำให้ได้ยินรายละเอียดเสียงที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น
ถ้ายังไม่พอใจแล้ว ในแอปพลิเคชัน Nothing X มี Equalizer แบบ 8-band ให้ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดตามความชอบ โดยสามารถปรับได้ทั้งแบบคนที่เริ่มต้นอยากปรับแต่งด้วยรูปแบบวงกลมที่แบ่งเป็น 3 ขา (เบส, แหลม และเสียงร้อง) หรือจะเอาแบบยากระดับคลื่นความถี่ ก็ทำไ้ด
ส่วนระบบไมโครโฟนถ้าไม่ได้ใช้งานพูดคุย ก็สามารถบล็อกเสียงได้ดีเสียงลมและสภาพแวดล้อมเข้ามาน้อย บางทีต้องกดลดระดับเองเพราะถ้าอยู่ข้างนอกถ้าเงียบไปอันตรายแน่นอ ทั้งนี้ Nothing มีการออกแบบให้ระบบ ANC ปรับเองได้ด้วยนะ ซึ่งก็ทำให้เสียงภายนอกเข้ามาได้บ้าง แต่ยังไม่เท่ากับโหมดให้เสียงภายนอกเข้ามา แต่ที่ต้องชมเชยคือ เมื่อต้องใช้คุย ค่อนข้างกรองเสียงรบกวนได้ดี ไม่มี Noise เข้ามา ด้วยเทคโนโลยี ClearVoice แต่ถ้ามีคนพูดข้างๆ ระยะไม่ไกลมาก จะยังเก็บเข้ามาอยู่
App Nothing X

เบื้องหลังความเทพของ Nothing Headphone (1) นั้นจะต้องยกคุณงามความดีให้ App ตัวเก่งอย่าง Nothing X ที่ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายปรับได้เยอะทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น
1. การปรับแต่งเสียง (Audio Customization)
นี่คือหัวใจหลักของแอปเลยก็ว่าได้ ซึ่งให้คุณปรับจูนเสียงได้อย่างละเอียดและหลากหลายมาก
-
Equalizer (EQ): ให้คุณเลือกเสียงได้ตามใจกับการปรับได้ทั้งหมด 2 รูปแบบได้แก่
-
โหมดง่าย (Simple): มีโปรไฟล์เสียงสำเร็จรูปให้เลือก เช่น Balanced (สมดุล), More Bass (เน้นเบส), More Treble (เน้นเสียงแหลม), Voice (เน้นเสียงพูด) และสามารถเลื่อนปรับระดับ เบส-กลาง-แหลม ได้ง่ายๆ
-
โหมดขั้นสูง (Advanced): เป็น Parametric EQ แบบ 8-band ที่ให้อิสระในการปรับแต่งย่านความถี่ต่างๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำระดับมืออาชีพ แถมยังสามารถแชร์โปรไฟล์ EQ ที่ตั้งค่าไว้ให้เพื่อนได้ด้วย
-
-
Bass Enhance (เพิ่มพลังเบส): เป็นฟังก์ชันแยกสำหรับเพิ่มเสียงเบสโดยเฉพาะ สามารถปรับระดับความหนักของเบสได้หลายระดับตามความชอบ
-
Spatial Audio (ระบบเสียงรอบทิศทาง): สามารถเลือกเปิด-ปิด หรือตั้งค่าได้ 3 รูปแบบ คือ Off (ปิด), Fixed (จำลองเสียงรอบทิศทางแบบคงที่) และ Head-tracking (เสียงจะเปลี่ยนทิศทางตามการหันศีรษะของเรา)
2. การควบคุมระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Control)
คุณสามารถจัดการโหมดการฟังได้อย่างสมบูรณ์ผ่านแอปได้สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็น
-
สลับโหมด: เลือกระหว่าง
-
Noise Cancellation (เปิด ANC): โหมดตัดเสียงรบกวน
-
Transparency (โหมดโปร่งใส): รับฟังเสียงจากภายนอก
-
Off (ปิด): ปิดทั้งสองโหมดเพื่อประหยัดแบตเตอรี่
-
-
ปรับระดับ ANC: สามารถเลือกระดับความแรงของการตัดเสียงรบกวนได้ 4 ระดับ คือ Low, Mid, High และ Adaptive ที่จะปรับความแรงให้อัตโนมัติตามความดังของสภาพแวดล้อม
3. การปรับแต่งปุ่มควบคุม (Controls)
นอกจากฟังก์ชั่นพื้นฐานที่มีแล้ว Nothing X ยังออกแบบให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนคำสั่งของปุ่มกดต่างๆ บนตัวหูฟังได้ตามความถนัด เช่น ตั้งค่าให้การกดค้างเป็นการสลับโหมด ANC หรือการเรียกใช้งานผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant)
แต่ถ้าใช้กับมือถือ Nothing จะสามารถตั้งค่า Channel HOP และ คุยสั่งงาน ChatGPT ได้ด้วย
4. การตั้งค่าทั่วไปและฟีเจอร์เสริม (Device Settings)
-
Firmware Update: อัปเดตเฟิร์มแวร์ของหูฟังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรับฟีเจอร์ใหม่ๆ ในอนาคต
-
Over-ear Detection: ตั้งค่าเปิด-ปิดเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ ที่จะเล่น/หยุดเพลงอัตโนมัติเมื่อใส่หรือถอดหูฟัง
-
Dual Connection: จัดการการเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์ 2 เครื่องพร้อมกัน (Multipoint)
-
Low Lag Mode: เปิดโหมดลดความหน่วงของเสียง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่นเกม
-
Find My Headphone: ฟีเจอร์สำหรับช่วยค้นหาตำแหน่งของหูฟัง กรณีที่ลืมวางทิ้งไว้
-
ดูสถานะแบตเตอรี่: หน้าแอปจะแสดงผลแบตเตอรี่คงเหลือของหูฟังอย่างชัดเจน

เรียกได้ว่าการใช้แอป Nothing X ควบคู่ไปด้วย จะทำให้คุณดึงศักยภาพของ Nothing Headphone (1) ออกมาใช้ได้ครบทุกฟังก์ชันเลย แต่จะแตกแค่มือถือค่ายอื่นกับ มือถือของ Nothing เองที่จะได้ฟีเจอร์แตกต่างกัน
อ้อ และยังรองรับ Microsoft Swift Pair สำหรับต่อกับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows และ Google Fast Pair ต่อแล้วจำบัญชีเพื่อให้ต่อกับมือถือเครื่องอื่นๆ ได้รวดเร็วแถมจำค่าไม่ต้องตั้งค่าใหม่เมื่อย้ายอุปกรณ์
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ

แม้ว่าสิ่งที่บอกเรื่องน้ำหนักของหูฟังรุ่นนี้เยอะถึง 329 กรัม ส่วนหนึ่งก็เพราะ Nothing Headphone (1) ให้แบตเตอรี่จุใจถึง 1,040 mAh ทำให้ใช้งานได้ยาวนานมาก โดยระยะเวลาการใช้งานที่สามารถใช้งานเคลมไว้ดังนี้
-
เมื่อปิดระบบตัดเสียงรบกวน (ANC Off):
-
ใช้งานได้นานสูงสุด 80 ชั่วโมง (เมื่อฟังเพลงผ่าน Codec AAC)
-
ใช้งานได้นานสูงสุด 54 ชั่วโมง (เมื่อฟังเพลงผ่าน Codec LDAC)
-
-
เมื่อเปิดระบบตัดเสียงรบกวน (ANC On):
-
ใช้งานได้นานสูงสุด 35 ชั่วโมง (เมื่อฟังเพลงผ่าน Codec AAC)
-
ใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง (เมื่อฟังเพลงผ่าน Codec LDAC)
-
โดยจากที่ทดลองใช้ก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน แต่ถ้าเปิดฟังนานขนาดนี้อาจจะเสียสุขภาพได้ ดังนั้นก็แทบจะพูดได้ว่า มันอึดจนต้องร้องขอชีวิต
ส่วนระบบชาร์จไฟรองรับการเสียบ USB-C และรองรับกับโหมด Quick Charge ด้วยโดยความเร็วในการใช้พลังงานมีดังนี้
-
ระบบชาร์จเร็ว (Fast Charging): รองรับการชาร์จเร็วที่ช่วยให้ใช้งานต่อได้ในเวลาอันสั้น
-
ชาร์จเพียง 5 นาที สามารถฟังเพลงต่อได้นานถึง 5 ชั่วโมง (เมื่อปิด ANC)
-
หากเปิด ANC จะใช้งานได้ประมาณ 2.4 ชั่วโมง
-
-
ระยะเวลาชาร์จเต็ม: ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ในการชาร์จจาก 0% ถึง 100%
สรุปหลังลองใช้งาน Nothing Headphone (1)

มาถึงบทสรุปของ Nothing Headphone (1) เป็นอีกหูฟังไร้สายแบบครอบหัวที่ให้ฟีเจอร์เยอะเกินตัว ออกแบบบอกตัวตนของผู้ใช้งานที่ไม่อยากซ้ำใคร และ แบตเตอรี่อึด ทุกอย่างคุณได้จบหูฟังรุ่นนี้ดังนั้นถ้าใครชอบเดินทางไม่อยากชาร์จไฟหูฟังบ่อยๆ เอาคุณภาพเสียงเป็นที่ตั้ง เสียงปล่อยค่าเดิมก็ฟังได้ไม่ต้องปรับให้ปวดหัว นี่เป็นอีกหูฟังที่ใช่สำหรับคุณ สำหรับราคาอยู่ที่ 8,999 บาท
สำหรับการพรีออเดอร์ Headphone (1) จะได้รับ Nothing Headphone Protective Cover โดยสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เช่นเดียวกัน ผ่านร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ dotlife, Jaymart, Banana, Powerbuy และ Munkong และช่องทางออนไลน์ Lazada และ Shopee ซึ่งจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมเป็นต้นไป
และใครได้ครอบครอง Nothing Phone (3) และ Headphone (1) ก่อนใครกับ Limited Drop เปิดขายรอบพิเศษที่ Nothing Store (One Bangkok) และ Carnival (CentralWorld) ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป

อัลบั้มภาพ 19 ภาพ
ดาวน์โหลดสนุกแอปฟรี







