
ทุกวันนี้มือถือหลายๆ รุ่นมักจะมีเทคโนโลยีชาร์จไฟเร็วที่สามารถจ่ายไฟได้กำลังสูงสุด โดยมากสุดคือ 120W ทำให้หลายคนบอกว่ามันจะกินไฟเยอะไหมตามที่คิดกันไปเองว่า "ยิ่งเร็ว ยิ่งแรง ก็ต้องยิ่งเปลืองไฟสิ" แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลักการคิดค่าไฟนั้นง่ายกว่าที่คิด และคำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ ซึ่ง Sanook Hitech มีคำตอบครับ
เราต้องมาทำความเข้าใจคือ ค่าไฟฟ้าไม่ได้คิดจาก "กำลังไฟ" (วัตต์) ของที่ชาร์จ แต่คิดจาก "ปริมาณพลังงานทั้งหมด" ที่ถูกส่งเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่จนเต็มในตัวมือถือจะมี 2 ส่วน
ไม่ว่าคุณจะใช้ปั๊มน้ำที่แรงแค่ไหน (ชาร์จเร็ว) หรือปั๊มน้ำธรรมดา (ชาร์จปกติ) สุดท้ายแล้วปริมาณน้ำที่ต้องเติมให้เต็มถังก็ยังคงเท่าเดิม ค่าไฟจึงขึ้นอยู่กับ "ขนาดของถัง" หรือ "ความจุแบตเตอรี่" เป็นหลักนั่นเอง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาลองคำนวณค่าไฟในการชาร์จมือถือที่มีแบตเตอรี่ขนาดมาตรฐานยอดนิยม 5,000 mAh กันครับ ประกอบไปด้วย
หาพลังงานของแบตเตอรี่ (Wh): (5,000 mAh × 3.85 V) / 1000 = 19.25 Wh
รวมพลังงานที่สูญเสียไป (เผื่อ 20%): 19.25 Wh × 1.20 = 23.1 Wh (นี่คือพลังงานที่เราดึงมาจากเต้ารับจริงๆ)
แปลงเป็น "หน่วย" ไฟฟ้า (kWh) ที่ใช้คิดเงิน: 23.1 Wh / 1000 = 0.0231 kWh
คำนวณค่าไฟ: 0.0231 kWh × 4 บาท/หน่วย ≈ 0.092 บาท
ผลลัพธ์คือ... ประมาณ 9 สตางค์!
เมื่อรู้ว่าชาร์จครั้งหนึ่งจ่ายไม่ถึง 10 สตางค์ หลายคนอาจจะอยากรู้ต่อว่า แล้วถ้าเราชาร์จมือถือทุกวันตลอดทั้งเดือนล่ะ จะเป็นเงินเท่าไหร่? ต่อเดือน
ค่าไฟต่อเดือน = 0.092 บาท/วัน × 30 วัน = 2.76 บาท
น่าทึ่งใช่ไหมครับ! ค่าไฟสำหรับการชาร์จมือถือที่ใช้งานทุกวันตลอดหนึ่งเดือนนั้น ยังไม่ถึง 3 บาทด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้านหลายๆ ชิ้นรวมกันอีก

แม้ค่าไฟจะถูกมาก แต่การดูแลแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ขอสรุปดังนี้
ครั้งต่อไปที่คุณเสียบสายชาร์จ ไม่ต้องกังวลว่าที่ชาร์จเร็วจะทำให้ค่าไฟพุ่งกระฉูด เพราะค่าใช้จ่ายในการชาร์จมือถือแต่ละครั้งนั้นน้อยมาก และแม้จะชาร์จทุกวัน ค่าไฟต่อเดือนก็ยังไม่ถึง 3 บาท ปัจจัยหลักที่กำหนดค่าไฟก็คือ "ขนาดความจุของแบตเตอรี่" ไม่ใช่ "ความเร็ว" และควรจะชาร์จที่เหมาะสม