5 ประเด็นชวนหงุดหงิดที่ Microsoft ควรเร่งแก้ไข ก่อน Windows 11 สิ้นสุดการสนับสนุน
Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
//s.isanook.com/hi/0/ud/322/1613615/win11-5-thing.jpg5 ประเด็นชวนหงุดหงิดที่ Microsoft ควรเร่งแก้ไข ก่อน Windows 11 สิ้นสุดการสนับสนุน

5 ประเด็นชวนหงุดหงิดที่ Microsoft ควรเร่งแก้ไข ก่อน Windows 11 สิ้นสุดการสนับสนุน

แชร์เรื่องนี้

Windows 11 กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่สี่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และด้วยกำหนดการสิ้นสุดการสนับสนุน (End of Life - EOL) ของ Windows 10 ที่ใกล้เข้ามาในอีกไม่ถึงครึ่งปี ความสนใจจึงมุ่งไปที่ระบบปฏิบัติการรุ่นปัจจุบันมากขึ้น ผู้ใช้งานจำนวนมากจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้ Windows 11 ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือสถานการณ์บังคับ แม้ว่า Windows 11 ในปัจจุบันจะมีเสถียรภาพและประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเปิดตัวในปี 2021 แต่ก็ยังคงมีหลายจุดที่ต้องการการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน

บทความนี้จะชี้ให้เห็น 5 ประเด็นหลักที่ยังคงเป็นปัญหาชวนหงุดหงิดใจสำหรับผู้ใช้งานหลายคน แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่จนถึงขั้นทำให้ใช้งานไม่ได้ แต่ก็สร้างความรำคาญใจไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า Microsoft ได้ใช้ทรัพยากรไปกับการพัฒนาฟีเจอร์บางอย่างที่ถูกยกเลิกไปแล้ว (เช่น Windows Subsystem for Android - WSA และ Suggested Actions) ขณะที่ปัญหาพื้นฐานหลายอย่างกลับยังไม่ได้รับการแก้ไข

1745745563_2_story

1. Dark Mode ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ (Proper Dark Mode)

ส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface - UI) สมัยใหม่ของ Windows 11 รองรับ Dark Mode ได้อย่างสวยงาม แต่เมื่อผู้ใช้ต้องเข้าไปใช้งานส่วนที่เป็น UI ดั้งเดิม (Legacy UI) กลับพบว่า Dark Mode แสดงผลผิดเพี้ยน หรือไม่รองรับเลย ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่โปรแกรมเก่าเก็บอย่าง Phone Dialer (ที่น่าประหลาดใจว่ายังคงอยู่ในระบบ) แต่รวมถึงองค์ประกอบ UI ที่ใช้งานบ่อยครั้ง เช่น หน้าต่าง Properties ของไฟล์, UI แสดงความคืบหน้าการวางไฟล์ (Paste Progress), Control Panel และอีกหลายส่วน

ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่ Dark Mode ที่สมบูรณ์ยังส่งผลดีต่อการเข้าถึง (Accessibility) ซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft ให้ความสำคัญอย่างมาก การผลักดันให้ Dark Mode ครอบคลุมทั้งระบบจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ หากนักพัฒนาอิสระหรือทีมขนาดเล็กสามารถสร้างแอปพลิเคชัน Third-party เพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ ทำไม Microsoft ซึ่งมีทรัพยากรมากกว่าจึงไม่สามารถทำได้?

1745745421_3_story

2. การสลับธีมอัตโนมัติที่ยังขาดหายไป (Automatic Theme Switching)

ต่อเนื่องจากประเด็น Dark Mode สิ่งที่น่าแปลกใจคือในปี 2025 นี้ Windows 11 ยังคงไม่สามารถสลับระหว่าง Dark Mode และ Light Mode โดยอัตโนมัติตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้น/ตก หรือตามตารางเวลาที่ผู้ใช้กำหนดได้ ทั้งที่ระบบปฏิบัติการอื่นๆ เช่น macOS, iOS, Android หรือแม้แต่ Linux Distro หลายตัว ต่างก็มีฟีเจอร์นี้มานานหลายปีแล้ว แต่ Microsoft กลับยังคงมองข้าม ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาแอป Third-party

3. ปัญหาคาราคาซัง: Control Panel และ Settings App (Control Panel and Settings saga)

การโยกย้ายฟังก์ชันจาก Control Panel แบบดั้งเดิมไปสู่ Settings App ที่ทันสมัยกว่า เริ่มต้นมาตั้งแต่ Windows 8 ในปี 2012 เวลาผ่านไป 13 ปี ผู้ใช้ยังคงต้องเปิด Control Panel เพื่อตั้งค่าบางอย่าง เช่น การเปิดใช้งาน Hibernate ในการติดตั้ง Windows 11 ใหม่

แม้จะมีความคืบหน้าอยู่บ้าง โดยในอัปเดตใหญ่ของ Windows 11 มักจะมีการย้ายฟีเจอร์จาก Control Panel มายัง Settings App (เช่น การตั้งค่าเมาส์และคีย์บอร์ดใน Preview Build ล่าสุด) แต่โดยรวมแล้วความคืบหน้ายังค่อนข้างช้า เครื่องมือสำคัญอย่าง Disk Management หรือ Device Manager ไม่เพียงแต่ยังไม่ถูกย้ายมา แต่ยังขาดการรองรับ High DPI ที่เหมาะสม (ทำให้ UI ดูเบลอและไม่สวยงามบนจอความละเอียดสูง) และไม่รองรับ Dark Mode รวมถึงหน้าตาที่ยังคงไม่ทันสมัย นอกจากนี้ การที่ไม่สามารถเปิดหน้าต่าง Settings App พร้อมกันหลายหน้าต่างได้ ก็เป็นอีกหนึ่งข้อจำกัด

1745745427_4_story

4. ข้อจำกัดของ Start Menu และ Taskbar (Start menu and taskbar)

เป็นอีกสององค์ประกอบที่ผู้ใช้มักจะวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ สำหรับ Start Menu แม้จะมีการปรับปรุงดีไซน์ไปบ้าง แต่ปัญหาหลักคือการไม่สามารถปรับขนาดความสูงของ Start Menu ให้ใหญ่ขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเสริม (เช่น Windhawk mods) โดยเฉพาะผู้ใช้ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่และมีแอปพลิเคชันปักหมุดไว้จำนวนมาก การที่ไม่สามารถขยาย Start Menu ในแนวตั้งเพื่อลดการเลื่อนหาแอปฯ เป็นเรื่องน่าหงุดหงิด เช่นเดียวกับรายการ "All apps" ซึ่งใน Windows 10 สามารถปรับความสูงของ Start Menu ได้สุดขอบจอ

ส่วน Taskbar นั้น ระบบปฏิบัติการ Desktop ส่วนใหญ่ล้วนอนุญาตให้ผู้ใช้ย้ายตำแหน่ง Taskbar (หรือ Dock) ไปยังด้านข้างของหน้าจอได้ แต่ไม่ใช่สำหรับ Windows 11 ซึ่งน่าผิดหวังอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้จอ Ultrawide หรือผู้ที่ต้องการปรับแต่งตำแหน่งตามความถนัด แม้ Microsoft จะใช้เวลาถึง 4 ปีในการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้สามารถนำส่วน "Recommended" ออกจาก Start Menu ได้ บางทีในอีก 4 ปีข้างหน้า เราอาจจะได้ความสามารถในการย้าย Taskbar กลับคืนมา

1745745409_1_story

5. ปัญหา Animation และประสิทธิภาพโดยรวม (Bad animations and more)

ปัญหา Animation ที่ไม่ลื่นไหล โดยเฉพาะในส่วนของ Virtual Desktops และ Task View เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง (การ์ดจอแรง, จอ 144Hz พร้อม Adaptive Refresh Rate) ก็ยังพบอาการกระตุก Taskbar หายไปเมื่อสลับ Desktop, Task View หน่วง, Animation ของ Thumbnail แสดงผลไม่สมบูรณ์ และมีการดรอปเฟรมบ่อยครั้ง

ผู้ใช้บางรายถึงกับเลือกปิด Animation ทั้งหมดใน Accessibility Settings เพื่อให้ระบบตอบสนองได้เร็วขึ้น ซึ่งน่าเสียดายที่ต้องเลือกระหว่างความสวยงามกับประสิทธิภาพ

ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจาก 5 ข้อข้างต้น ยังมีประเด็นย่อยอื่นๆ ที่ผู้ใช้ต้องการเห็นการปรับปรุง เช่น ความสามารถในการติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรองรับ Local Account อย่างสมบูรณ์, การลดจำนวนโฆษณาในระบบปฏิบัติการ, การนำ Widgets กลับมาไว้บน Desktop (แม้จะมีข่าวลือแต่ยังไม่เป็นรูปธรรม), การปรับปรุงประสิทธิภาพของ Context Menu, และการ Rollout ฟีเจอร์ใหม่ที่ควรจะสับสนน้อยกว่านี้

ทำไมเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้จึงสำคัญ?

แม้ปัญหาเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย (Nitpicks) ที่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้ใช้ขั้นสูง (Enthusiasts) แต่กลุ่มผู้ใช้เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของระบบปฏิบัติการบนโลกออนไลน์ การที่ Microsoft รับฟังและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้แฟนพันธุ์แท้พึงพอใจ แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้ผู้ใช้งานทั่วไปพร้อมที่จะอัปเกรดจาก Windows เวอร์ชันเดิมมากขึ้น

แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไร? มีฟีเจอร์หรือส่วนใดใน Windows 11 ที่คุณอยากให้ Microsoft ปรับปรุงแก้ไขบ้าง? ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :Neowin