
กลับมาพบกับรีวิวจากทีม Sanook Hitech อีกครั้งในรอบนี้สำหรับคนที่รอคอยมือถือที่ใช้คำว่า “บ้าพลัง” ที่สุดของปี 2024 มันมาแล้วครับกับ ROG Phone 8 Pro Edition ที่ได้ RAM เยอะที่สุดในตลาด พร้อมแล้วเรามาพิสูจน์ความแรงกันเลยกับรีวิวชุดนี้



ประกอบด้วย
ทั้งนี้รุ่นธรรมดาจะต่างกันที่พัดลม AeroActive X เท่านั้น
เริ่มจากหน้าตาของ ROG Phone 8 Series รอบนี้ด้านหน้าของเครื่องจะเป็นแบบเรียบง่ายและดูซ่อนรูป ถ้าไม่บอกว่ามันคือมถือเล่นเกม ก็คงจะคิดว่าเป็นมือถือทั่วไปเพราะตำแหน่งของลำโพงเครื่องด้านบนนั้นถูกย่อเก็บเข้าไปและมีกล้อง ซ่อนในหน้าจอ แต่ไม่ได้เป็นแบบซ่อนเมื่อเปิดหน้าจอ และยังเอาลำโพงไปเก็บด้านบนดูแล้วลงตัว

หน้าจอก็ยังคงมีขนาด 6.78 นิ้ว แบบ LTPO AMOLED แต่เปลี่ยน Panel ใหม่เป็นของ Samsung E6 AMOLED ความสว่าง 2,500 nits, LTPO Touch Sampling Rate 720Hz, Refresh Rate Max 165Hz, Adaptive 1 – 120Hz และส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มความคุมอย่างเดียว

รอบตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม โดยมีช่องเสียบ USB-C ทางฝั่งซ้ายมือ เพื่อเสียบกับพัดลม AeroActive X รุ่นใหม่
ฝั่งขวาจะมีปุ่ม Air Trigger ไว้แตะสั่งงานได้คำสั่งยังคงเหมือนเดิม พร้อมกับปุ่ม Power และ ปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง วิธีการ Capture หน้าจอ กดปุ่ม Power + ลดเสียงหรือใช้ 3 นิ้วลากจากด้านบนหน้าจอลงมาล่างก็ได้เช่นกัน

ส่วนบนรอบนี้จะมีแค่ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

ส่วนล่างมีช่องเสียบหูฟังอยู่ขวามือ, ช่องเสียบ USB-C อยู่ทางซ้ายมือ. ลำโพงเครื่องไว้ตรงกลาง และ ถาดใส่ซิมอยู่ข้างๆ ช่อง USB-C

พลิกมาด้านหลังเป็นที่อยู่ของกล้อง ตัวเครื่องทั้ง 2 รุ่นคือ ROG Phone 8 และ ROG Phone 8 Pro จะมีกล้องที่คล้ายกัน แต่จะต่างกันที่ผิวสัมผัสของเครื่อง

ที่สำคัญคือรุ่นนี้รองรับระบบ Wireless Charging แล้วถือว่าเป็นครั้งแรกของ ROG Phone ที่สามารถชาร์จไฟไร้สายได้แต่ตำแหน่งของมันค่อนข้างสูงเหลือเกิน

ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะมีน้ำหนัก 225 กรัม ถือว่าเยอะอยู่ การออกแบบที่สมดุลทั้งด้านหน้าและหลังทำให้เครื่องถือแล้วไม่ปวดมือและยังออกแบบได้สวยงามลงตัวอีกด้วยครับ ดังนั้นถ้าใครอยากได้มือถือเล่นเกมที่ถือคล่องๆ นี่เป็นอีกรุ่นที่แนะนำอยู่ครับ แถมข่าวดี รุ่นนี้รองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 แล้ว แต่ไม่ได้รองรับมาตรฐานกันตกนะ





สำหรับพัดลมระบายอากาศรอบนี้จะมีขนาด 36 x 38 มิลลิเมตร มี Thermoelectic 2.6x ความเร็ว 1x ลดความร้อนได้ 36 องศา มีไฟ Aura RGB ขนาดเล็กลง 29% เบาลง 10% เหลือปุ่มกด แค่ 2 ปุ่มเท่านั้น และมี Build in Kick Stand + ช่องเสียบหูฟังและ USB-C สำหรับชาร์จไฟ ให้เฉพาะ 8 Pro Edition ที่ให้มาในกล่อง
สำหรับรุ่น ROG Phone 8 สามารถซื้อได้และไม่สามารถใช้ของเดิมมาใสได้นะครับ การทำงานคือถ้าเครื่องไม่เสียบปลั๊กเราจะเลือกความแรงได้ 3 โหมด ถ้าอยากให้แรงสุดต้องเสียบปลั๊กจะทำงานในโหมดที่เย็นสุดได้ครับ

อย่างที่บอกไปว่าหน้าจอ ROG Phone 8 Pro จะใช้ Panel ของ Samsung E6 AMOLED นอกจากให้ความสว่าง 2,500 nits และยังมาพร้อมกับสีสันที่ตอบสนองได้ดีเลยครับ
ส่วนในเรื่องของระบบเสียงแม้ว่าตำแหน่งลำโพงจะเปลี่ยนไปแต่ยังให้คุณภาพเสียงที่ดังและมี Smart Amplifier และรอบนี้สามารถใช้งาน Hi-Res Audio ได้ทั้งสายและหูฟังด้วย มาให้ด้วยครับ และมอเตอร์สั่นใหม่เก็บรายละเอียดได้ดี แถมไมโครโฟน 3 จุดลด Noise ลงได้เยอะมากเลยด้วย
คะแนน Benchmark สูงสุด + AeroActive X
คะแนน Benchmark X-Mode ไม่มี AeroActive X
ไม่ต้องพูดถึงขุมพลังว่า Snapdragon 8 Gen 3 ตัวนี้แรงแค่ไหน เพราะได้รับการปรับจูนจาก ROG พร้อมกับระบบระบายความร้อนขั้นเทพอย่าง GameCool 8 ประกอบด้วย
ทั้งหมดช่วยให้เครื่องลดความร้อนลงได้ 20% เลยครับ
แต่ถ้ายังไม่สุด ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง AeroActive X ใหม่ ที่มาพร้อมกับ ขนาด 36 x 38 มิลลิเมตร มี Thermoelectic 2.6x ความเร็ว 1.1x ลดความร้อนได้ 36 องศา มีไฟ Aura RGB ขนาดเล็กลง 29% เบาลง 10% เหลือปุ่มกด แค่ 2 ปุ่มเท่านั้น และมี Build in Kick Stand + ช่องเสียบหูฟังและ USB-C สำหรับชาร์จไฟ ให้เฉพาะ 8 Pro Edition
ฟีเจอร์การเล่นเกมสำหรับรุ่นนี้ก็จะมี X-Mode ที่ต้องเปิดจาก Amony Crate คุณสามารถปรับโหมดประสิทธิภาพผ่าน X-Mode / X-Mode+ ที่นอกจากบูสต์พลังแบบแรงเหมือนสายน้ำที่ตกอย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถเร่งกับเกมในโหมด Gaming Mode, Hardcore Mode ที่ทำให้ดึงศักยภาพของเกมเข้ามาได้แบบเต็มที่ ส่วนคนทั่วไปก็จะมี Dynamic, Ultra Durable และ Advance ในหัวข้อสุดท้ายคือสามารถปรับค่าได้เองทั้งหมด
ในระหว่างเล่นเกมก็จะมี Game Genie ที่ปัดทางด้านข้างบนมุมขวาหรือซ้ายก็ได้ ช่วยให้การเล่นเกมสนุก โดยสามารถปรับได้ตั้งแต่

การเชื่อมต่อไร้สายจริงๆ แล้ว ROG Phone 8 Series รองรับ Wi-Fi 7 แล้วแต่สเปกไทยยังถูก Software ล็อคเหลือแค่ Wi-Fi 6e ตามมาตรฐานของ Wi-Fi ในเมืองไทย ที่เหลือรองรับ 5G, Bluetooth 5.3 GPS, A-GPS การจับแผนที่รวดเร็วมากพอตัว

ROG Phone 8 Series ทั้งหมดจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 14 ที่ไม่ได้ปรับหน้าจอหลักอะไรมากมายแต่จริงๆ แล้วในตัวเครื่องมีฝั่งระบบ AI ต่างๆ มากมายเช่น
AI Semantic Search สามารถที่จะหาได้และตั้งค่าเมนูให้มัน Match กัน รองรับการหาเกี่ยวกับ Keyboard ผ่านทาง Apps และใช้ค้นหารูปได้ (รองรับ อังกฤษ, จีน ส่วนไทยรองรับในอนาคต)
Armoury Crate

ตัวช่วยในกาปรับประสิทธิภาพของเครื่องรอบนี้สำหรับตัวเครื่อง ROG Phone 8 Series จะมีการปรับเพิ่มเติมดังนี้





ฟีเจอร์ทั่วไป

Motion Sensor

ส่วนพัดลม AreoActive X มีการปรับปรุงในเรื่องของขนาดพัดลมใหญ่ตัว Sub-Woofer ตัดออกไป ขยายแผนใหญ่ขึ้นและตั้งค่าแสดงผลของไฟได้เช่นเคย
นอกนั้นยังมีฟีเจอร์ทั่วไปได้แก่ เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, สมุดจด, เข็มทิศ และสามารถอัดหน้าจอได้ และระบบความปลอดภัยคือสแกนลายนิ้วมือในหน้าจอ / ระบบสแกนใบหน้า

มีการปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้นแต่ภาพรวมก็ยังคล้ายกับ ROG Phone 7 อยู่ แต่ออกแบบให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น โดยมีการปรับแต่งให้โมหดอื่นๆ มาอยู่ในหน้าจอหลักด้านด้วย เมื่อเป็นรุ่น Pro ก็จะซูมภาพนิ่งได้เยอะขึ้นที่ 30x แต่การถ่ายภาพสนุกขึ้นและใช้งานได้คล่องมือมากขึ้น

การ ถ่ายวิดีโอ 4K 60 FPS และ 8K / 30 FPS เลยทีเดียว พร้อมกับลูกเล่นทั้ง Timelaps, Slo-mo ได้ช้าสุดที่ HD 480 FPS และ Motion Tracking จับการเคลื่อนไหววัตถุได้ และ Pro Video ที่ทำได้เหมือนมือถือราคาแพงในระดับเดียวกัน และยังมีฟีเจอร์ตัดเสียงลม, ฟีเจอร์เลือกใช้ไมโครโฟนฯ การซูมวิดีโอที่ 10x
(กล้องหน้า)



(กล้องหลัง)
















สุดท้ายกับเรื่องแบตเตอรี่ของ ROG Phone 8 Series ให้ขนาด 5500 mAh ลดลงจากเดิมเล็กน้อย แต่ด้วยขุมพลังที่แรงจัดและสามารถประหยัดไฟได้หากจำเป็น ทำให้ ROG Phone 8 Pro Edition ที่ได้ RAM 24GB ตัวนี้ ผ่านการทดจาก PCMark ที 7:30 ชั่วโมง และใช้งานจริงเปิดหน้าจอนานสุด 5 ชั่วโมงกว่า ถ้าใช้โหดแนะนำว่าต้องชาร์จไฟระหว่างวัน

ส่วนระบบชาร์จไฟของ ROG Phone 8 Series เป็นแบบ USB-C เท่านั้นรองรับกำลังสูงสุด 65W ในแบบ Hyper Charge หรือจะใช้ที่ชาร์จกำลัง 65W ก็สามารถชาร์จไฟได้ ซึ่งที่ชาร์จยังติดตั้งให้ในกล่องอยู่ และรอบนี้ ROG Phone 8 รองรับ Wireless Charge กำลัง 15W แล้วด้วย

นอกจากนี้ ROG Phone 8 ยังมีระบบดูแลแบตเตอรี่ที่สามารถทำได้ตั้งแต่การเสียบไฟตรงโดยไม่จ่ายไฟเข้าไปในเครื่อง, เสียบชาร์จไฟไปและใช้งานไป หรือจะเป็นระบบปรับอัตโนมัติ และยังล็อคไม่ให้ชาร์จไฟเต็มได้ หากพบว่าเครื่องร้อนเกินไป หรือจะล็อคให้ชาร์จไฟแค่ 85% อย่างเดียวก็ได้

กลายเป็นมือถือ Gaming ที่ดูเรียบร้อยและเน้นกล้องที่สำคัญกล้องนั้นมีระบบ Gimbal มาให้เก็บภาพได้ดี แต่ยังไม่ละจากความเป็นที่สุดของมือถือเล่นอัดทุกสิ่งมาให้แบบครบและเป็นมือถือไม่กี่รุ่นในประเทศไทยที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ที่ได้ RAM 24GB ตัวแรกๆ ขายในประเทศไทย ที่ใช้คำว่าถ้าคุณมีจุดประสงค์เพื่อจะเล่นเกมมากเกินครึ่งซื้อได้เลย
ราคาพิเศษเมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพ็คเกจรายเดือนกับ AIS 5G ROG Phone 8 ราคาเริ่มต้นที่ 25,690.-*, ROG Phone 8 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 33,690.-* และ ROG Phone 8 Pro Edition ราคาเริ่มต้นที่ 43,690.-* *เงื่อนไขตามที่ AIS กำหนด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
“พบกับโปรโมชันเปิดตัว ROG Phone 8 – Early Bird ซื้อก่อน คุ้มกว่า
คุ้มแรก :
ครั้งแรกกับการ Trade-in ‘เก่าแลกใหม่’ ที่สามารถนำเครื่องเก่ามาแลกเป็นส่วนลดได้ พร้อมรับส่วนลดเพิ่มอีก 3,000 บาท จากราคาประเมิน
เฉพาะร้านตัวแทนจำหน่ายสาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น
เฉพาะวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2567
คุ้มที่สอง :
ซื้อตอนนี้ รับเลย
1) DevilCase for ROG Phone 8 มูลค่า 1,490 บาท
2) Glass Screen Protector for ROG Phone 8 มูลค่า 590 บาท
ของแถมจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย
คุ้มที่สาม :
สแกน QR Code เพื่อลงทะเบียน รับกระเป๋า ROG Slash Sling Bag 2.0 มูลค่า 1,990 บาท
สำหรับเฉพาะลูกค้าที่ซื้อรุ่น ROG Phone 8 (12/256) ทั้งสีเทา/สีดำ และ ROG Phone 8 Pro (16/512)
โดยโปรโมชันนี้เฉพาะวันที่ 1 – 18 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น”
จุดเด่น
ข้อสังเกต