
สโลแกนที่ช่วงนี้คุณจะได้เห็นกับโฆษณาที่มีคำว่า “อย่างพี๊คคคคค” คงเป็นคำจำกัดความของ Smart Phone เรือธงที่จัดว่ามีประวัติที่ยาวนานและมันก็คือ Samsung Galaxy S นั่นเอง ตอนนี้เดินทางมาถึง S23 แล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือว่าเป็นการแก้เกมจากรุ่นก่อนที่ยังมีคนบอกว่า ถ้ามันจะไปต่อ มันต้องมีอะไรที่ดีขึ้น และมันดีตรงไหน และทำไมถึงบอกว่า พี่ใหญ่หน้าตามเดิม กับ รีวิวนี้ใน Samsung Galaxy S23 Ultra และการอยู่ร่วมเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์จะเป็นอย่างไร มารับชมกัน

รายละเอียดสเปกในแต่ละรุ่นของ Samsung Galaxy S23 Series
Samsung Galaxy S23
Samsung Galaxy S23+
Samsung Galaxy S23 Ultra

ด้านหน้ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.8 นิ้วเช่นเคยและยังคงเป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X, ความละเอียด QHD+ (3088 x 1440 พิกเซล) รองรับ HDR 10+ ค่า Refresh Rate 1 – 120Hz แบบ Adaptive รองรับค่าสี DCI-P3 Wide Gamut 100% ความสว่าง 1,750 nits ไม่ได้แตกต่างจากเดิม แต่ว่า สิ่งที่ Samsung มอบให้กับจอด้านหน้าที่ไม่เหมือนกันคือความยาวของหน้าจอที่ยืนลงไปเกือบสุด ครอบทับด้วย Gorilla Glass Victus 2 ทั้งหน้าและหลัง

ส่วนบนจะมีกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล อย่าเพิ่งดูถูกนะครับ ไว้ส่วนของกล้องจะเล่าให้ฟังว่าต่างกันกับของเดิมอย่างไร พร้อมกับเซนเซอร์ครบครันและบนสุดก็จะมีลำโพงสำหรับสนทนาและเป็นลำโพงตัวที่ 2 ให้เสียงที่ดังเพราะมีการเปลี่ยนลำโพงใหม่ใหญ่กว่าเดิม

ส่วนล่างมาพร้อมกับปุ่มควบคุมระบบปฏิบัติการ Android ปรับเปลี่ยนได้ 2 รูปแบบโดยเข้าไปจัดการได้ที่ Setting (ตั้งค่า) >Display (หน้าจอ) > Navigation Bar (แถบการนำทาง)


ขอบเครื่องด้านข้างหน้ากว่า S22 Ultra แบบชัดเจน โดยฝั่งซ้ายจะไม่มีปุ่มอะไรทั้งสิ้น และขอบจะเปลี่ยนไปตามสีที่คุณเลือก ถ้าเป็นสีครีมที่เห็นขอบจะเป็นสีทอง, สีดำ Phantom Black จะเป็นสีดำเงา, Lavender ขอบสีชมพู, เขียว จะเป็นสีเขียว ส่วนสีพิเศษ ถ้าเป็น Sky Blue, Lime จะเป็นสีเงิน และ Red และ Graphite จะเป็นสี ดำด้าน และสำคัญสุดขอบหนามากทำให้จอโค้งน้อยลง แต่ยังโค้งอยู่นะ

ฝั่งขวาจะมีปุ่ม ประกอบด้วย Side Key (ปุ่มนี้สามารถเลือกได้ระหว่าง ปุ่มเปิด / ปิดเครื่อง หรือปลุกระบบคำสั่งเสียงเช่น Bixby ขึ้นมา และ กด 2 ครั้งสามารถสั่งเปิดกล้องได้) พร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียงมาให้ ลักษณะของปุ่มจะหนาขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อยกดง่ายขึ้น

ส่วนบนของเครื่องจะมีการโชว์วัสดุความเงางามของเครื่องพร้อมกับไมโครโฟนป้องกันเสียงรบกวนให้รองรับการทำงานได้ดีมากขึ้น

ส่วนล่างมาพร้อมกับช่องใส่ซิมการ์ด สำหรับประเทศไทยจะเป็นแบบ SIM คู่ (Dual SIM), USB-C, ไมโครโฟน และลำโพงตัวเครื่อง และมีช่องใส่ปากกา S Pen

เมื่อดึงออกมา หัวปากกา S Pen รุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรจะได้สีดำทั้งหมด ต่างกันที่ปุ่มกดอย่างเดียวเท่านั้นสีก็ตามขอบที่คุณเลือกสีนั่นเอง


ด้านหลังอย่างที่บอกไปว่าออกแบบตำแหน่งได้เหมือนกับ Galaxy S22 Ultra แต่ว่าเลนส์กล้องขนาดใหญ่จะเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถใช้เคสเดียวกันได้ ส่วนบนมีกล้องทั้งหมด 4 ตัวพร้อมกับอินฟราเรด, เซนเซอร์วัดสี LED Flash แบบครบๆ และรองรับ NFC, Wireless Charging

ความรู้สึกที่ได้สัมผัส / น้ำหนักตัวเครื่อง / สีสัน

ถ้าให้พูดตรงๆ กับรูปร่างทั้งหมด มันคือ Galaxy S22 Ultra แทบจะหมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างที่ได้อธิบายไปตั้งแต่ทำสัมผัสแรกว่า มันไม่เหมือนกันซะทีเดียว ตำแหน่งปุ่มกด ขนาดของกล้องใหญ่กว่า และน้ำหนักที่มากขึ้น ทำให้แยกความแตกต่างชัดเจน การถือ S23 Ultra มันจะดูสมดุลและหนักเป็นก้อนเดียว ถ้าใครชอบของที่มีความมั่นคงและกลัวเวลาถือแล้วตกบ่อย S23 Ultra ให้คำตอบที่ดีมาก
ซึ่งสอดคล้องกับ S23 และ S23+ ที่ได้ถ่ายมาให้ดูชุดนี้ว่า ความแตกต่างของรุ่นก่อนคือความหนานั่นเอง แต่กล้องนั้นออกแบบยังเป็นแบบเจาะรูลอยทั้งหมด เหมือนกัน ถ้าจะให้ดีใส่เคสและหรือถ้าไม่ใส่ก็ต้องระวังเรื่องรอยขนแมวเหมือนกันทั้งหมด



สีสันของ Samsung Galaxy S23 Series โดยหลักแล้วจะมีทั้งหมด 4 สีเหมือนกันคือ Lavender, Cream, Phantom Black, Green มีเฉพาะ Galaxy S23 Ultra ความจุ 512GB / 1TB เท่านั้นที่จะมีสีพิเศษครบทั้ง 4 สีคือ Sky Blue, Red, Graphite และ Lime ความจุอื่นๆ รวมถึง Galaxy S23 และ S23+ จะมีแค่ Graphite และ Lime ให้เลือกเท่านั้น
สีพิเศษสั่งซื้อได้เฉพาะ Samsung.com เท่านั้น

มือถือ Samsung Galaxy S23 Series ได้รับมาตรฐานกันน้ำอยู่ที่ IP68 รองรับกันน้ำระดับ 1 เมตร 30 เซนติเมตร ได้นาน 30 นาที, และกันฝุ่นได้เต็มรูปแบบ เหมือนเดิมทุกประการ
การแสดงผลหน้าจอ / ระบบเสียงของเครื่อง

จุดนี้บอกเลยว่าหน้าจอยังคงเป็นลักษณะเดิมนั่นคือ 6.8 นิ้ว แบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียดสูงสุด WQHD+ แต่สามารถปรับระดับได้ ความสว่าง 1,750 nits ถือว่าทำได้สูงมาก และยังมีเทคโนโลยี Vision Booster ทำให้การรับชมในสภาพกลางวันสว่างไม่แพ้แดด และมีค่า Refresh Rate 120 Hz แบบ Adaptive ที่ปรับระหว่าง 1 – 120 Hz (รุ่น S23 และ S23+ จะอยู่ที่ 48 – 120Hz เท่านั้น และความละเอียด FHD+) และมี Touch Sampling Rate หรือความไวในการสัมผัสที่ 240 Hz ถือว่ายังเป็นรองมือถือเล่นเกม แต่ถ้าเทียบกับเรือธงถือว่าไวแล้ว
ความสว่างสู้แดดสบายๆ กับความสว่าง 1,750 nits ในทุกรุ่นถือว่าดีมาก สว่างสุด


แต่ที่ปรับปรุงชัดเจนเห็นจะเป็นระบบเสียงนอกจากการรองรับ Dolby ATMOS, Bluetooth 5.3 และรูปแบบการแชร์เสียงต่างๆ ที่อยู่เหมือนเดิม แล้ว คราวนี้เปิดเพลงฟังปรากฏว่าเสียงลำโพงข้างล่างดังกว่าเดิมชัดเจน เก็บรายละเอียดได้ดีทุกย่านเสียงจนเรียกว่า Samsung ฟัง Feedback ลูกค้ามาอย่างดี

คะแนนประสิทธิภาพจาก AnTuTu = 1,206,507

Geekbench 6
คะแนนประสิทธิภาพ Geekbench

คะแนนของ 3D Mark

เรียกได้ว่าเห็นคะแนนแล้วก็ดีใจแทน Samsung เพราะมีการเลือกใช้ Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ที่แตกต่างกันกับรุ่นปกติที่ Clock Speed สูงขึ้น ดังนั้นการทำงานของเครื่องถือว่าทำได้รวดเร็วมากขึ้น
ความร้อนของเครื่องก็มีการปรับปรุงจาก S22 Ultra โยรอบนี้มีการออกแบบให้แผ่น Vapor Chamber ใหญ่มากขึ้นและยัง รองรับการซับความร้อนทั้งชิปเซ็ต, หน่วยความจำ และหน่วยประมวลผลและถือว่าครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าเดิม ส่งผลดีต่อการระบายความร้อน ทำให้การทดสอบที่เห็นความร้อนไม่ได้สูงมากนัก ทำให้ไปถึงจุดที่ CPU ตัดกำลังช้าลงค่อนข้างมาก ที่สำคัญคือตัวเครื่องออกแบบให้มีจุดระบายอากาศได้รวดเร็วผ่านทางด้านล่างของเครื่องผ่านไมโครโฟนอีกด้วยแต่ไม่ต้องห่วงเสียงรบกวนไม่มีแน่นอนทำงานเงียบมาก(มันไม่มีพัดลม)

ส่วนลูกเล่นการเล่นเกมก็ยังคงมี Game Launcher ที่เก็บเกมไว้ที่เดียวกัน และ Game Booster ที่สามารถสั่งเปิด / ปิดระบบ Game Optimize Service และรวมถึงการทำงาน Pause USB Power Delivery ทำให้ชาร์จไฟเล่นเกมไปได้โดยเครื่องไม่ร้อน

Samsung Galaxy S23 Ultra สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง 5G, Bluetooth, Wi-Fi, GPS, A-GPS เป็นต้น ถือว่าครบครันสำหรับมือถือเรือธง และสามารถบอกตำแหน่งการนำทางได้แม่นยำมาก

Samsung Galaxy S23 Series เป็นครั้งแรกของมือถือ Samsung กับการใช้ One UI 5.1 ที่มีลูกเล่นเพิ่มขึ้นจากเดิมแต่พื้นฐานยังคงเป็น One UI 5

เบื้องต้นลูกเล่นของ OneUI 5.1 นั้นจะมีการเพิ่ม Expert RAW ในฟีเจอร์กล้อง, ปรับปรุง Gallery ใหม่, Dex Mode ที่ทำงานกับหน้าจอได้หลากหลาย และรวมไปถึงแก้ปัญหาต่างๆ และ Security Pad นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ One UI 5.1 cรวมถึงการกดสั่งที่ภาพแล้วลาออกมาแบบเดียวกับ iPhone

ส่วนลูกเล่นอื่นๆ ก็ยังมีมาให้แบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็น
ฟังก์ชั่นของปากกา S Pen ใหม่

ลูกเล่นของ S Pen ยังอยู่ครบทั้ง Air View ชี้เพื่อแสดงรูปภาพ หรือเว็บไซต์, Translate ชี้เพื่อแปลข้อความ, Live Message, Smart Select, Screen Writing, เพิ่มเติมจะมีอะไรที่หลากหลายประกอบด้วย


บอกแบบนี้เหมือนไม่เปลี่ยนความจริงมีเปลี่ยน 1 สิ่งเท่านั้นคือเวอร์ชั่น Bluetooth 5.3 ประหยัดไฟขึ้นและต่อไวขึ้นกว่าเดิม และเครื่องมือต่างๆ ยังคงอยู่ครบ เครื่องคิดเลข, ปฏิทิน, เครื่องอัดเสียงเครื่องคิดเลข, Samsung Dex ได้ทั้งแบบไร้สาย, เสียบ USB-C หรือต่อตรงกับ TV เป็นต้น
นอกจากนี้การเชื่อมต่อของ Samsung Galaxy Ecosystem ยังคงมีมาให้ โดยมีความสามารถมากมายเช่น


ส่วนระบบความปลอดภัยมี Samsung KNOX มาทำงานร่วมกับระบบสแกนนิ้วที่ใต้หน้าจอ ยังคงเป็นเซนเซอร์ตัวเดิมที่แนะนำว่า อย่าติดฟิล์มหนา ถ้าติดหนาควรจะสแกนนิ้วใหม่จะดีกว่า และระบบสแกนใบหน้านั้นเป็นแบบ 2D
เปิดกล้องลองถ่ายภาพด้วย Galaxy S23 Ultra

สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนคือกล้องของรุ่นนี้ที่มีให้แบบครบครัน ประกอบด้วย
Samsung นั้นเคลมว่า กล้องของ Galaxy S23 Ultra ที่อัปเกรดเป็นแบบ 200 ล้านพิกเซล นอกจากทำภาพใหญ่ได้แล้วยังสามารถปรับภาพได้ทั้งแบบ 50 ล้านพิกเซล รวมพิกเซล 4 in 1 และ ทำให้การรวม Pixel มากถึง 16 in1 เท่ากับภาพจะสว่างมากขึ้น
ฟีเจอร์ของการถ่ายภาพด้วย Samsung Galaxy S23 Ultra


ใช้คำว่าเมนูกล้องทุกอย่างเหมือนกับของเดิมแต่จะมีการอำนวยความสะดวกเช่นการปรับปรุงเรื่อง My Filter เป็นปุ่ม+ เพิ่มได้ไม่ต้องกดหมวดแยก รวมไปทีเดียว, รวมไปถึงการเพิ่มเมนูกล้องที่ใช้บ่อยเข้ามาได้อย่างลงตัว และยังมีลูกเล่นครบ ทั้งวิดีโอและภาพนิ่งเลือกใช้ได้ตามสะดวก การซูมใช้วิธีเลื่อนเอาไม่ได้เป็นแบบปุ่มกดเหมือนกับมือถือบางยี่ห้อที่ใช้เลื่อน การควบคุมถือว่าทำได้ง่าย แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเคยชินของคุณเอง
Expert RAW

สำหรับฟีเจอร์นี้คือการเพิ่มเติมของกล้องที่จะมีเมนูกดและดาวน์โหลดเพิ่ม โดยฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาเป็น Preset สำหรับถ่ายภาพกลางคืนทั้งถ่ายดวงดาวหรือ Astrograph และการถ่ายภาพที่เป็นแสงน้อยจัดๆ ทำให้เก็บรายละเอียดได้ดี แต่แนะนำว่า ขาตั้งกล้องต้องมาครับ
ผลงานจากกล้อง Samsung Galaxy S23 Ultra





ภาพกลางวัน : จุดนี้เราจะซูมให้คุณดูด้วยสังเกตว่า AI จะช่วยทำให้ภาพที่ออกมาเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่ที่เหลือจะออกโทนอุ่นเล็กน้อย นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะ Samsung Galaxy S23 Ultra สามารถปรับปรุงผ่านทาง Adobe Lightroom for Android
Auto ปิดทุกอย่าง
เปิด Night Mode
เปิด Night Mode (Max)

ภาพกลางคืน : สังเกตว่าภาพที่ได้จะเก็บรายละเอียดค่อนข้างดี อาจจะมี Noise ถ้าไม่ใช้ Night Mode แต่ภาพรวมแล้วถือว่าเกลี่ยรายละเอียดได้ดี





ภาพรูปแบบอื่นๆ เช่นการถ่ายอาหาร, วัตถุใกล้ หรือจะเป็นนางแบบ
ลองถ่ายภาพด้วยกล้องหน้า



เห็นกล้องหน้าลดความละเอียดเหลือที่ ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล อย่าเพิ่งโห่ร้องไปนะครับ เพราะกล้องรุ่นนี้คือตัวใหม่ที่ใช้กับ S23 ทุกรุ่นพบว่าการโฟกัสและการทำงานต่างๆนั้นถือว่าทำได้ไวกว่าเดิม รับแสงต่างๆ ได้ดีขึ้น
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ

มาถึงเรื่องที่หลายรอคำตอบว่า Galaxy S23 Ultra แบตเตอรี่อึดไหมเพราะ S22 Ultra ยังทำได้ในระดับพอใช้เท่านั้น โดยแบตเตอรี่ของ S23 Ultra จะมีแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ขนาดเท่าเดิมไม่ได้แตกต่าง แต่การออกแบบการใช้พลังงานของ Snapdragon 8 Gen2 For Galaxy ทำให้ประหยัดไฟกว่าเดิม 20% ผลคือมีการชาร์จต่อวันน้อยลงปกติ 2 – 3 รอบถ้าใช้งานหนัก เหลือเพียง 1 รอบเท่านั้น PCMark จาก 100 – 18% ใช้เวลาได้ที่ 15:10 ชั่วโมงเท่านั้น อึดขึ้นชัดเจน

ส่วนระบบชาร์จไฟยังคงเหมือนเดิมคือ 45W แต่ว่าสามารถปรับเรื่องการจ่ายกระแสไฟตามขนาดการชาร์จไฟ โดยถ้าแบตฯต่ำกว่า 35% จะได้กำลังสูงสุด 45W หลังจากนั้นลดลง จนถึง 80% จะลดลงเหลือ 10 – 15W ส่วนไร้สายข่าวร้าย กำลังลดลงเหลือ 10W เท่านั้น แต่ก็ไม่มีผลอะไรมากมาย และรองรับ Wireless Power Share เหมือนเดิม

จากตัวตนที่ตอนบอกตั้งแต่สัมผัสแรกว่า Samsung Galaxy S23 Series คือการปรับปรุงสิ่งที่ S22 ทำไว้แต่ยังมียังมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะ มาวันนี้ Galaxy S23 Ultra คืออีก 1 สิ่งพิสูจน์ว่า หน้าตาไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องบอกว่าเปลี่ยน ข้างในคือความชัดเจนมากกว่า โดยรอบนี้ AI, CPU, Software เมื่อเป็นของจริง ผลงานถือว่าตอบโจทย์ตรงใจ คนส่วนใหญ่ (แม้จะหนักกว่าเดิมก็ตาม)
อาจจะไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมดแต่ภาพรวมก็สร้างความพอใจทั้ง แรง ไม่ร้อน กล้องสวยดี ซูมคมชัดแม่นยำ และยังมาพร้อมกับศักยภาพของ AI ที่รอบนี้ฉลาดมากขึ้น แต่ราคาต้องทำใจกับช่วงเวลานี้ที่ยังจะเป็นไปแบบนี้
ดังนั้นถ้าให้สรุปทั้งหมด 3 รุ่นนี้ว่าต้องเลือกอะไรดี ก็ตอบตามนี้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกเครื่องยืนยันว่ามันดีจริงสำหรับมือถือเรือธงของปีจาก Samsung ไม่แปลกที่จะใช้คำว่า พี๊คคคค มาเป็นวลีเด็ดนั้นเอง ส่วนการเลือกซื้อจะเป็นแบบไหนช่องทางไหนราคาจบที่เท่าไหร่ เป็นหน้าที่ของคุณแล้วครับที่จะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ นั่นเอง
จุดเด่น
ข้อสังเกต
อัลบั้มภาพ 65 ภาพ