"Apple Watch Ultra" ที่สุดของนาฬิกาจาก Apple ครบทุกสิ่งที่คุณต้องมี
สำหรับคนที่ต้องการ Smart Watch ดีๆ แบบจบๆ ก็มีหลายสิ่งที่หลายคนบอกว่า ถ้าต้องการความสุด ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการลุยออกกำลังกายได้ แบตเตอรี่ต้องอึด และใส่ดำน้ำและแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีของ Smart Watch จากผู้ผลิตอุปกรณ์ IT ชื่อดัง แน่นอนครับคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Apple Watch Ultra เรือนนี้ที่พูดเลยว่า
ถ้าไม่ให้รุ่นนี้เป็น Sanook Choice ก็คงจะไม่มีตัวไหนแทนที่ได้ มาดูกันว่า มันดีอย่างไรถึงต้องยกมาพูดถึงในบทความนี้
งานออกแบบที่เน้นคุณภาพและแกร่งในเวลาเดียวกัน
แรกเห็นต้องบอกตรงๆ ว่า ถ้าเทียบความสวย Apple Watch Ultra ไม่ได้ออกแบบให้สวยเท่า Apple Watch Series 8 แต่เน้นคุณภาพ กับหน้าปัดเรียบ ขนาดหน้าปัด 49 มิลลิเมตร แต่ด้วยความเรียบทำให้ใส่เทคโนโลยี (Technology)ความสว่างหน้าปัดได้สูงถึง 1200 nits และติดตั้งกระจก Sapphire เข้าไปรองรับระบบสัมผัสหน้าจอที่ไว้ใจได้
รอบตัวเรือนนั้นออกแบบให้แข็งแรงกับบอดี้ที่เว้นส่วนที่สัมผัสเป็นแบบโค้ง และมีการออกแบบเพื่อป้องกันการหมุดเองของ Digital Crown (เม็ดมะยม) ทำให้สามารถลุยได้ แต่อีกสิ่งที่พิเศษจะอยู่ทางด้านซ้ายคือปุ่มพิเศษที่สามารถกดเป็นเมนูลัด เราสามารถตั้งค่าจาก Application ของ Apple Watch พร้อมกับไมโครโฟน 3 ตัวคุยสายได้คมชัด และยังมีลำโพงขนาดใหญ่ส่งเสียงได้ดังสุดจนเรียกว่าเปิดที่ปกติดังไปไกลถึง 5 บ้านได้เลย
ส่วนเซนเซอร์ชีพจรนอกจากสามารถรองรับระบบ Wireless Charge แล้วยังมีฟีเจอร์วัดชีพจรที่ละเอียดเบอร์ต้นๆ ของวงการ Smart Watch กันเลยทีเดียว และยังกดเปลี่ยนสาย ได้ง่ายจากด้านล่าง แค่กดแล้วสไลด์สามารถเปลี่ยนสายได้แล้ว
เรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้คือความทนทานที่ ออกแบบขั้นสุด ด้วยหน้าจอเรียบทำจาก Sharphie ทนทานขนาดตกและขูดขีดยังทนทานสุดๆ นอกจากนี้ยังสามารถทนอุณหภูมิระหว่าง -20c และร้อนสุดที่ 55c เลยครับ แถมกันน้ำในแบบ WR1000 และผ่านมาตรฐานแรงดันน้ำที่ EN13319 เรียกได้ว่าใส่ดำน้ำได้สบายๆ และไม่ต้องห่วงเรื่องพัง
สายลุยใส่ก็เหมาะ สายชิลล์ สายชิก ก็ใส่ได้
Apple Watch Ultra เรียกได้ว่าสร้างมาเพื่อทุกการใช้งานรูปแบบด้วยกัน เพราะว่าสายลุยจะใส่เล่นกีฬาก็ทนทานกับบอดี้ทำจาก ไทเทเนียม พร้อมกับสายที่ออกแบบเพื่อการลุยไม่ว่าจะเป็น Alpine Loop เน้นบางเบาและมีข้อล็อคตัว G ทำจากไทเทเนียม, Trail Loop เป็นผ้ายืดหยุ่นรัดง่ายเน้นความกระชับ ทั้ง 2 แบบนี้เป็นผ้าแบบแห้งเร็ว และ Ocean Band ที่ออกแบบให้นำน้ำได้
แต่สายที่เหลือของ Apple Watch หากมีขนาดที่ใช้กับ Apple Watch ขนาด 44 มิลลิเมตร สามารถใช้สายเดียวกัน พูดเลยว่า ต่อให้เอาสายโลหะ หรือสาย H ก็ใส่ได้
ฟีเจอร์เหนือชั้นกว่า Apple Watch ปกติ
ความเหนือชั้นของฟีเจอร์ที่ Apple Watch Ultra จัดมาแบบเต็มๆ ให้สมกับการเป็นรุ่นบนสุด ไม่ว่าจะเป็น
- สามารถจับสัญญาณ GPS ได้ทั้งแบบ L1 และ L5 และเป็นแบบ Dual Band
- ฟีเจอร์ออกกำลังกายต่อยอดให้รองรับการออกำลังกายขั้นสูงเช่น การวิ่ง Track, City Run และรองรับการออกกำลังกายแบบ ไตรกีฬา
- หน้าปัดที่ออกแบบให้สามารถบอกข้อมูลได้ครบไม่ว่าจะเป็นการบอกทิศ, แรงกดอากาศ, รังสี UV และอื่นๆ ที่สายลุยต้องรู้
- ความสว่างหน้าปัดทำได้สูงสุด 1200 nits
- ปุ่มด้านข้างสามารถกำหนดฟีเจอร์เช่น การย้อนกลับ ไปจุดก่อนหน้า (Track Back), เข้าโหมดออกกำลังกาย, Walkie Talkie เป็นต้น
- มีระบบ Digital Dive Computing บอกคำนวณและวางแผนการดำนาน ทำงานร่วมกับ Oceanic+
- รองรับโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับการเล่นสกีได้
- ลำโพงที่เห็นด้านข้างๆ ทำให้สามารถส่งเสียงได้ถึง 85 เดซิเบล เพื่อขอความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ฟีเจอร์ที่อยู่ใน Apple Watch Series 8 ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ Cellular, การตรวจจับอุบัติเหตุ (Crash Detection), ระบบจับคลื่นหัวใจไฟฟ้า ECG และการบอกเรื่องความเข้มข้นของ Oxygen ในเลือก หรือ SpO2 ก็สามารถบอกได้เช่นเดียวกัน และยังรองรับฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือ ผ่านดาวเทียมได้อีกด้วย
แบตเตอรี่อึด ไม่ต้องชาร์จไฟบ่อย
เรื่องแบตเตอรี่ของ Apple Watch หลายคนบอกว่า มันใช้ได้นานสุด 2 วันเท่านั้น บางคนใช้ได้แค่วันเดียวก็ต้องชาร์จไฟ แต่สำหรับรุ่นนี้ สาวกคงถูกใจกับสิ่งนี้เพราะ ยังสามารถใช้งานได้นานถึง 36 ชั่วโมงในโหมดปกติ แต่ถ้าอยากให้อยู่ได้นานกว่านี้ คุณสามารถเปิด Low Power Mode ทำให้ใช้งานนานสุดที่ 60 ชั่วโมง ถือว่านาน
และมีการเปลี่ยนแปลงที่ชาร์จใหม่ให้สามารถวางได้แน่นกว่าเดิมกับที่ชาร์จไฟแบบ MagSafe ขนาดเล็กสามารถใช้กับ AirPods Pro หรือ AirPods 3 ที่รองรับกับ MagSafe ได้เช่นเดียวกันครับ ไม่ต้องหาที่ชาร์จให้วุ่นวาย
โดยสรุปแล้ว Apple Watch Ultra คือ Smart Watch ที่ครบเครื่องทั้งใส่ลุยออกกำลังกายได้ปกติ หรือจะเป็นนักผจญภัยก็สามารถตอบโจทย์กับลูกเล่นครบเครื่อง ที่ถ้าพูดถึงเรื่องที่เป็นข้อสังเกต มันก็มีเพียงแค่น้ำหนักเยอะกว่ารุ่นปกติ เท่านั้นเอง แต่ทั้งหมด ก็แลกกับความครบทุก Apple Watch รุ่นปกติ หรือ Smart Watch ในระดับเดียวกันที่ยังทำไม่ได้เท่า
กับราคานั้นอยู่ที่ 31,900 บาท เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เขาไม่ได้มองที่รุ่นสวยหรู แต่มองถึงนาฬิกาสาย Multi Sport นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม และจะใช้คำว่ามีเรือนนี้ ทิ้ง iPhone ไว้ในเป้ ใส่แค่นาฬิกาเรือนนี้ก็สามารถผจญภัยและกลับมาอย่างปลอดภัยได้ครับ
สำหรับช่องทางการซื้อนอกจากทาง Apple Store, Apple Online Store แล้วยังมีช่องทางตัวแทนจำหน่ายที่ Apple แต่งตั้งก็สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
อัลบั้มภาพ 33 ภาพ