ชีวิตวิถีอัตโนมัติ สุขสบายสไตล์คนขี้เกียจ

ชีวิตวิถีอัตโนมัติ สุขสบายสไตล์คนขี้เกียจ

ชีวิตวิถีอัตโนมัติ สุขสบายสไตล์คนขี้เกียจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การใช้ชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เราพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัย นวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างเป็นอุปกรณ์ “อัตโนมัติ” สุดชาญฉลาดขึ้นมาให้เราได้ใช้งาน ตอบสนองพฤติกรรม “ขี้เกียจ” ที่จะทำอะไรต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เนื่องจากลักษณะการทำงานของอุปกรณ์อัตโนมัติจะมีกลไกทำหน้าที่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้มนุษย์ผู้ใช้งานขยับเขยื้อนร่างกายและเคลื่อนไหวน้อยลงมาก ๆ แค่ออกคำสั่งให้เครื่องทำงานมันก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างตามฟังก์ชันของมัน แตกต่างจากคนในรุ่นก่อน ๆ ที่ต้องมีภูมิปัญญา ต้องหาวิธีทำอะไรต่ออะไรเองทุกอย่าง

ซึ่งถ้าหากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หลายคนคงนึกภาพไม่ออกหรอกว่าในปี 2022 โลกเราจะมาไกลได้ถึงจุดนี้ หากลองเปรียบเทียบชีวิตในช่วงเวลาปัจจุบันกับชีวิตเมื่อหลายปีก่อน หลายคนก็เริ่มจำไม่ได้แล้วว่าก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตกันมาได้อย่างไรโดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พวกนี้ เด็กรุ่นใหม่ ๆ จินตนาการภาพไม่ออกว่าคนสมัยก่อนเขาใช้ชีวิตกันมาแบบไหนทั้งที่ไม่มีอุปกรณ์อัตโนมัติใช้งาน ที่บ้านไม่จำเป็นต้องมีไม้กวาด ไม่รู้จักผ้าขี้ริ้วที่ทำมาจากเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ไม่ใส่แล้ว รู้จักแต่หุ่นยนต์ทำความสะอาด ที่เดินวนทำความสะอาดไปรอบบ้านตอนที่ตัวเองกำลังนั่งดูทีวี กินข้าว อาบน้ำ หรือแม้แต่นอนหลับ บ้านก็สะอาดได้

เพราะเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีได้เห็นพ่อแม่ใช้งานอุปกรณ์อัตโนมัติจนชินตา แทบไม่เคยเห็นพ่อแม่กวาดบ้านหรือล้างจานเอง เพราะแค่เปิดหุ่นยนต์ทำความสะอาดตัวนั้น มันก็จะเดินทำความสะอาดไปรอบบ้าน เห็นพ่อแม่ยัดจานข้าวที่ใช้ใส่อาหารแล้วใส่เข้าไปเครื่องล้างจาน ไม่นานนักเครื่องก็ทำงานเสร็จเรียบร้อย พอเปิดประตูเครื่องก็ได้จานชามที่สะอาดเอี่ยมออกมา

พลังของ “ความขี้เกียจ” ที่ทำให้ต้องคิดวิธีแก้ปัญหา

การคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมานั้น หลัก ๆ แล้วมีเป้าหมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์เราเคยทำสิ่งต่าง ๆ ได้เองทั้งหมด แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปมนุษย์มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เริ่มไม่มีเวลามาโฟกัสกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว และต้องการเครื่องทุ่นแรงที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระของมนุษย์ ในเมื่อมีเครื่องทุ่นแรงช่วยทำแทนแล้ว เราก็จะมีเวลาและกำลังไปทำอย่างอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่พอภาระของมนุษย์เบาลง เราก็สบายมากขึ้น มีเวลาว่างเพิ่มขึ้น แต่เราก็คงไม่ถอยหลังกลับมาทำอะไรต่าง ๆ ด้วยตัวเองให้มันเหนื่อยอีกต่อไป กลายเป็น “ความขี้เกียจ” ได้ในที่สุด

อย่างไรก็ดี ความขี้เกียจนั้นไม่ใช่เรื่องของนิสัยทั้งหมด วิทยาศาสตร์อธิบายว่าความขี้เกียจอาจเป็นผลมาจากยีนตัวหนึ่งในร่างกาย ที่ทำให้ตัวรับโดพามีนลดลง ซึ่งโดพามีนนี้เป็นสารแห่งความสุขที่สมองจะหลั่งออกมาก็ต่อเมื่อเราได้ทำกิจกรรมที่เรารู้สึกว่ามีความสุข แต่ด้วยปัจจัยทางสังคมต่าง ๆ ที่ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาจะทำกิจกรรมอะไรเหล่านี้กันเท่าไร สารโดพามีนจากสมองก็จะหลั่งออกมาน้อยลง นานวันเข้าเราก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากจะทำอะไร เบื่อ เหนื่อย เพลีย พอมีเวลาก็อยากจะกอบโกยการพักผ่อนให้มากที่สุด ก็ทำให้ความรู้สึกขี้เกียจมีมากขึ้น โดยความขี้เกียจในระดับที่เรียกว่า Couch Potato คือการที่คนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทำอะไรเลย นั่ง ๆ นอน ๆ ก็หมด 1 วัน

โดยความขี้เกียจของผู้บริโภคยุคปัจจุบันนี่เองที่ทำให้เกิดยุคที่เรียกว่า Lazy Economy หรือก็คือเทรนด์เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความขี้เกียจของผู้บริโภคนั่นเอง เป็นความต้องการของคนยุคใหม่นี้อยากได้ความสะดวกสบายมาช่วยแบ่งเบาภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยอ้างว่าประหยัดเวลาและแบ่งเบาภาระ เพื่อเอาเวลาที่เหลือมาทำสิ่งสำคัญหรือมีสาระกว่า จนทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเข้ามามีบทบาทในชีวิตคนเราทีละน้อย ๆ และกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ไปแล้วในทุกวันนี้

โดยแนวโน้มการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ มักจะยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อขจัดงานที่น่าเบื่อหน่าย ต้องเสียเวลานาน และเข้ามาช่วยเรื่องความสะดวกสบาย พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้เรา ทำงานได้แบบอัจฉริยะ เพราะเราจะต้องลงมือทำเองไปทำไม ในเมื่อมีอุปกรณ์ที่ช่วยทำแทนเราอยู่แล้ว ทำเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เราไม่ต้องเข้าไปทำเอง โดนใจคนขี้เกียจสุด ๆ “ของเขาทำมาเพื่อให้ใช้ เราก็แค่ใช้ จ่ายเงินซื้อความสบาย เครื่องมันก็ทำงานตอบสนองความสะดวกสบายพวกเราได้ดี”

ยุคนี้ที่อะไร ๆ ก็ต้อง “อัตโนมัติ” ไว้ก่อน

“เครื่องอัตโนมัติ” ทั้งหลาย คือสินค้าที่ตอบโจทย์คนขี้เกียจจะออกแรงและเคลื่อนไหวร่างกายเป็นอย่างดี เพราะเราไม่ต้องเข้าไปมีบทบาทอะไรเลย แค่เปิดเครื่องก็จบเรื่อง อุปกรณ์เหล่านี้จะทำตามคำสั่งที่ถูกป้อนไว้เป็นอย่างดี ทำงานได้เองทุกขั้นตอน เราไม่ต้องขยับ ไม่ต้องจับ ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย คนขี้เกียจก็คือขี้เกียจทำอะไรเองแทบทุกอย่าง จะต้องหาวิธีหรือทางลัดมาเป็นตัวช่วยจนได้ จะพยายามทำให้ตัวเองอยู่นิ่งให้ได้มากที่สุด และไม่ต้องเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุด

ทุกวันนี้อุปกรณ์อัตโนมัติต่าง ๆ ที่ช่วยทุ่นแรงและเวลาให้กับมนุษย์นั้นหาใช้งานง่ายมากและราคาก็ไม่ได้แพงเกินเอื้อม ดังที่เราเห็นคลิปขายสินค้าเหล่านี้ได้ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย เป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่มันดูเจ๋ง ๆ คูล ๆ ซึ่งเราจะเห็นพวกของใช้ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ เครื่องมือ ของใช้ หรือพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ มันมีฟังก์ชันล้ำ ๆ มากมาย ดีไซน์ก็สวยน่ารัก เหนือสิ่งอื่นใดคือการใช้ประโยชน์แบบที่ดูไม่เหมือนกับของที่อยู่ในบ้านเราเลยสักนิด มันมีลูกเล่นมากกว่า และทำให้เราว้าวได้ และสิ่งที่เหนือกว่าคือประสบการณ์การใช้งาน ที่ทำให้เรารู้สึกว่าบ้านของเรากลายเป็น “บ้านอัจฉริยะ” ขึ้นมา เพราะแทบทุกอย่างทำงานได้โดยอัตโนมัติ

ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่เราเป็นขี้เกียจแล้วเราคือคนผิดหรือคนไม่ดี ความขี้เกียจของคนเราที่มากขึ้น ทำให้เราแสวงหาสิ่งที่ง่ายและสบายกว่าเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของตนเอง เปิดโอกาสให้เทคโนโลยีได้เข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการนั้น มนุษย์ก็เลยเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างไม่มีเงื่อนไข ลืมนึกไปว่าความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีก็เป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งมันคือประโยชน์ที่ทำให้เราปลาบปลื้ม แต่อีกด้านก็เป็นภัยชนิดหนึ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนให้เราได้แบบไม่รู้ตัว

และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นคนขี้เกียจเพราะหลงใหลในความสบายจากเทคโนโลยี หลายคนยังเต็มใจที่จะทำอะไรด้วยตนเอง เต็มใจที่จะทำอะไรที่ยุ่งยากกว่า นานกว่า โดยไม่พึ่งอุปกรณ์อัตโนมัติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าไม่มีคนขี้เกียจ ของใช้อย่างหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านที่ทำความสะอาดได้อย่างอัตโนมัติก็คงไม่มีใครทำออกมาขาย หากมันไม่มีคนซื้อไปใช้ ในทางตรงกันข้าม ทุกวันนี้อุปกรณ์เหล่านี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยอดขายเติบโตได้ไวด้วย

พึ่งพาอุปกรณ์อัตโนมัติมากเกินไปมันก็เป็นโทษ

เหรียญมีสองด้านฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็มีทั้งคุณและโทษฉันนั้น แน่นอนว่าทุกวันนี้เราต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบายมากขึ้นจนเห็นได้ชัด จากการที่เราพึ่งพาเทคโนโลยี พึ่งพาความอัตโนมัติของอุปกรณ์เจ๋ง ๆ หลาย ชิ้น หลายคนถูกความขี้เกียจกลืนกินไปทีละน้อย บางคนเคยไม่ชอบ ไม่เชื่อใจว่ามันจะใช้งานได้จริง แต่พอได้ใช้แล้วก็เห็นว่ามันทุ่นแรงทุ่นเวลาได้ และผลลัพธ์ก็ใช้งานได้ผลจริง ๆ เริ่มเปิดใจยอมรับที่จะใช้งานมันต่อ และใช้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปจำวันเลยก็มี ไม่มีอีกแล้วคนที่บอกว่า “ไม่ใช้หรอก ใช้ไม่เป็น”

แต่ยิ่งความอัตโนมัติช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้นมากเท่าใด เราก็จะลืมตัวตนทางด้านความคิดมากขึ้นเท่านั้น การพึ่งพาอุปกรณ์เหล่านี้ให้ทำงานแทนเราทุกอย่าง ในบางมุมมันก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ ลดทอนความสามารถของมนุษย์ลง เพราะเมื่อใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากเปิดเครื่อง บางอย่างแค่ตั้งเวลาให้มันเปิดทำงานเองอัตโนมัติก็ยังได้ เราใช้สมองเพื่อคิด จดจำ และตัดสินใจน้อยลงเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นสภาวะที่เรียกว่า “สมองขึ้นสนิม” ไม่รู้ตัว อีกทั้งเรายังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงด้วย ไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยสักอย่าง พฤติกรรมแบบนี้มีความเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อมเร็วขึ้น

ทุกวันนี้ปัญหา “สมองเสื่อม” กำลังเป็นภัยคุกคามสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย หากย้อนกลับไปดูผลสำรวจของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในปี 2557 จะพบว่าผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มีภาวะสมองเสื่อม สมองสูญเสียความสามารถในการจำ การคิด สติปัญญา อารมณ์ มีพฤติกรรมและบุคลิกภาพเปลี่ยนไป จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน ทำงานหรือเข้าสังคมได้ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้ง่ายขึ้น คือการที่เราไม่ค่อยออกกำลังกาย และสมองไม่ค่อยได้ใช้งาน ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของมัน ซึ่งก็คือการคิด การจำ และการตัดสินใจ

นั่นหมายความว่า การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ คือยาป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ขี้เกียจออกกำลังกาย ก็ยังมีคำแนะนำที่ว่าให้พยายามขยับเขยื้อนร่างกายและเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุดแทนการออกกำลังกาย เช่น แทนที่จะใช้ลิฟต์ก็ให้ใช้บันไดแทน หรือระยะทางใกล้ ๆ จากที่เคยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ ก็ลองหันมาใช้วิธีเดินแทน แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่าการออกกำลังกาย แต่ก็ยังดีว่าการที่ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายเลย

มีการศึกษาที่ว่า การเดินแค่วันละ 25 นาที ช่วยให้ภาวะ “สมองเสื่อม” ดีขึ้นได้! แต่ปัญหาก็คือคนยุคใหม่กลับพยายามหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองได้ออกแรงหรือเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด โดยการบอกว่า “ขี้เกียจ” แค่เคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังไม่อยากที่จะทำ จนต้องใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างอุปกรณ์อัตโนมัติมาทำแทนเกือบทุกอย่างในชีวิตเลย

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันสมองเสื่อม แต่อย่าคาดหวังเรื่องการออกกำลังกาย เพราะบางคนแค่ทำงานบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังเลือกใช้อุปกรณ์อัตโนมัติให้ทำแทน ส่วนตัวเองขอนั่ง ๆ นอน ๆ ดูเครื่องทำงาน

ร่างกายที่แทบไม่ได้ขยับ ไม่ค่อยได้ใช้งาน กล้ามเนื้อและพละกำลังก็ค่อย ๆ อ่อนแรง การไหลเวียนเลือดไม่ดี การทำงานของร่างกายผิดปกติ แบบนี้คงไม่เสี่ยงแค่ภาวะสมองเสื่อม แต่ยังมีโอกาสทำให้เกิด อัมพฤกษ์ อัมพาต ความผิดปกติของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อได้ในสักวัน เนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบตัน ผลมาจากการขยับเขยื้อนร่างกายน้อยลง

ฉะนั้น การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเพื่อช่วยทุ่นแรงและเวลาของคน มันอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ มันไม่ใช่แค่การตกเป็นทาสการตลาดที่สามารถตอบสนองความขี้เกียจของคนได้ เราเคยคิดว่าการซื้ออุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้คือการจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหา แต่ถ้าเราตกเป็นทาสเทคโนโลยีเมื่อไร ผลลัพธ์ในด้านลบจะตามมาในทันที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook