Phone Detox ชีวิตดีขึ้นไหมกับการงดใช้โทรศัพท์ 30 วัน
แปลและเรียบเรียง: มัชฌิมา โพธาราม
สมาร์ทโฟนคือเครื่องหมายของความมั่งคั่งและประสบความสำเร็จ ตอนนี้การละมือจากมันคือความสำเร็จครั้งใหม่
ผมชื่อแดน และผมเป็นคนติดโทรศัพท์หรือที่เรียกว่า Phoneaholic ซึ่งคุณก็มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน พนันได้เลยว่าคุณจะรู้สึกถูกกระตุ้นให้เช็กโซเชียลมีเดียหรืออีเมล์แม้กระทั่งตอนที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผมจะพยายามไม่ให้มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วกันนะ
คนทั่วไปจะจับโทรศัพท์ 2,617 ครั้งต่อวัน อ้างอิงจากผลการศึกษาในปี 2016 สำหรับผู้ที่ใช้งานหนักที่สุด 10% จะมีจำนวนครั้งในการจับโทรศัพท์ถึง 5,427 ครั้งต่อวัน
มากกว่าหนึ่งในสามจะเช็กโทรศัพท์ของตัวเองภายใน 5 นาทีที่ตื่นนอน (สำหรับหลายๆ คน มันเป็นสิ่งที่ปลุกเราให้ตื่นตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ) และอีกกว่า 79% ก็ไถโทรศัพท์เป็นชั่วโมงก่อนจะเข้านอน
เราจะตกใจถึงขั้นแพนิคถ้าเราทำโทรศัพท์หาย รู้สึกกระวนกระวายถ้าแบตเตอรี่หมด และพวกเราบางคนถึงขนาดรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋าตอนที่โทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตัวด้วยซ้ำไป
การศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับวิธีที่เทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อสุขภาพยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ผลล่าสุดที่ออกมานั้นดูไม่ดีเลย สมาร์ทโฟนมีการเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของอาการนอนไม่หลับ ความเครียด อาการหมดไฟ ความหดหู่ อาการหลงใหลตัวเอง ความเหงา และการทำร้ายตัวเอง
สุขภาพจิตของ Screenagers (พฤติกรรมของวัยรุ่นรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับหน้าจอ) นั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะอัตราการซึมเศร้าของวัยรุ่นและการฆ่าตัวตายพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2011
เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความมั่งคั่งและความสำเร็จ ก่อนที่จะมีโทรศัพท์ ผู้คนไม่ได้เช็กอีเมล์งานกันตลอดเวลา ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดพักผ่อน เราเคยนั่งคิดฝันกลางวันอยู่ในภวังค์ อ่านหนังสือ เรามีเวลาให้กับงานอดิเรก พวกเราหลายคนมีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดตอนอาบน้ำ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะมันเป็นเพียงเวลาเดียวในหนึ่งวันที่ความคิดที่ไม่ได้ใช้งานแล้วเข้ามาแล้วก็จากไป
ผมอยู่กับไอโฟนที่เอาไว้ใช้ทำงานเช่นเดียวกันกับที่พวกเราหลายคนเป็น (แล้วผมก็ใช้เหตุผลนั้นเป็นข้ออ้าง เช่นเดียวกันกับที่พวกเราหลายคนเป็นเหมือนกัน) แต่พักหลังๆ มานี้การใช้โทรศัพท์ของผมเริ่มนอกเหนือจากการควบคุม ภรรยาของผมบอกเรื่อยๆ เลยว่า "คุณน่ะเป็นซอมบี้ ฉันคุยกับคุณไม่ได้เลย เด็กๆ ก็คิดถึงคุณ"
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไถโทรศัพท์ดูรูปลูกคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลแทนที่จะเล่นกับลูกของตัวเอง เหมือนกับคนสูบบุหรี่ที่พยายามจะซ่อนนิสัยของตัวเอง ผมมักจะหยิบโทรศัพท์มือถือเข้ามาใกล้ตัวทุกครั้งเมื่อใดก็ตามที่ภรรยาผมเข้ามาใกล้ หรือไม่ก็ต้องแอบดอดไปห้องน้ำทุกที
และเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ที่ผมเกือบจะขับรถชนแบบเส้นยาแดงผ่าแปดในขณะที่กำลังเช็กอินสตาแกรม ตอนนั้นแหละที่ผมรู้และตัดสินใจแล้วว่าพอก็คือพอ ได้เวลาทวงสิทธิ์ในการควบคุมกลับมาเสียที
ตามคำแนะนำจากในหนังสือเล่มใหม่ Digital Minimalism ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับคำแนะนำอย่างกว้างขวางของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Cal Newport ผมกำลังอยู่ครึ่งทางระหว่างการทำ Phone Detox เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือการใช้เวลา 30 วันในการหยุดพักจากเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามที่ไม่จำเป็นอย่างเข้มงวด ใช้เวลาที่พิเศษและเงียบสงบทั้งหมดที่คุณมีในตอนนี้และคิดให้ออกว่าอะไรสำคัญกับคุณ ในท้ายที่สุด ใช้เฉพาะเทคโนโลยีที่สนับสนุนและรองรับสิ่งที่คุณให้คุณค่า มันเหมือนกับวิธีการจัดระเบียบอาหาร 30 มื้อของมาริเอะ คนโดะนั่นแหละ
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำตามขั้นตอนนี้ ตอนแรกผมก็มีอาการตอบสนองแบบ Hit Refresh แต่ภรรยาของผมช่วยตรงนี้ด้วย เราได้สร้างกฏว่าจะไม่มีการใช้โทรศัพท์บนโต๊ะอาหาร แม้แต่ตอนที่นั่งทานคนเดียว ห้องนอนของเราจะเป็นพื้นที่ปลอดหน้าจอทุกประเภท โทรศัพท์จะถูกคว่ำหน้าชาร์จอยู่ในครัวตั้งแต่สามทุ่ม และผมก็เอานาฬิกาปลุกแบบดั้งเดิมมาวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงแทน
ผมได้จัดการเก็บเจ้านาฬิกา Apple Watch ที่เป็นดั่งโซ่ตรวนสมัยใหม่ แล้วเปลี่ยนไปใช้นาฬิกาอะนาล็อกแทน (Omega แนววินเทจ เผื่อคุณอยากรู้) เพราะงั้นผมจึงไม่ต้องใช้โทรศัพท์เพื่อเช็กเวลา ผมตั้งค่าปิดเสียงแจ้งเตือนเกือบทั้งหมด (ไปที่ Settings > Notifications) และตั้งโทรศัพท์เป็นโหมดเครื่องบินเวลาที่ผมต้องใช้สมาธิ เพราะว่าจากงานวิจัยพบว่า โดยทั่วไปคนเราจะใช้เวลา 25 นาทีเพื่อกลับไปมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่แต่เดิมหลังจากโดนดึงความสนใจไป
ในการที่จะทำให้หน้าจอนั้นมีความดึงดูดน้อยลง ผมจัดการตั้งค่าภาพหน้าจอให้เป็นเฉดสีเทา ที่ทำงาน ผมจะเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าให้อยู่นอกสายตา แทนที่จะให้อยู่ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง หรือวางไว้บนโต๊ะ
ผมพยายามที่จะให้มีหนึ่งวันในช่วงสุดสัปดาห์ที่เป็นวันปลอดโทรศัพท์ ผมย้ายแอพพลิเคชั่นอีเมล ข้อความ และ Social Media อื่นๆทั้งหมดออกจากหน้าจอหลัก และลบแอพอื่นออกไปอีกเป็นโหล แต่ผมก็โหลดแอพที่เรียกว่า Moment ที่จะตรวจสอบโทรศัพท์เพื่อให้รู้ว่าผมซื่อสัตย์กับขั้นตอนนี้อยู่
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา จากที่ผมมีแจ้งเตือนเฉลี่ยทั่วๆ ไปประมาณ 621 ครั้งต่อวัน นั่นเป็นจำนวนการขัดจังหวะต่อวันที่เยอะมากเลย ซึ่งหลังจากลองทำขั้นตอนนี้ ตอนนี้ลดลงเหลือ 67 ครั้ง และระยะเวลาการใช้หน้าจอลดลงจาก 5 ชั่วโมง 31 นาที ไปเป็น 1 ชั่วโมง 55 นาที ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาไปได้ถึง 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เหลือเชื่อเลยล่ะ
ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำตามขั้นตอนนี้อย่างเข้มงวดต่อไปในระยะยาวได้ไหม แต่ผมฝึกตัวเองให้เลิกไถหน้าจอไปเรื่อยได้แล้ว มันวิเศษมากที่รู้สึกว้าวุ่นใจและวิตกกังวลน้อยลง
ผมมีความคิดสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ผมวิ่งบ่อยขึ้นและเริ่มออกจากออฟฟิศตรงเวลาเพื่อกลับบ้านไปกินข้าวกับครอบครัว ผมอ่านหนังสือมากขึ้น และผมก็เริ่มมีความคิดที่จะเขียนหนังสือของตัวเองด้วย และถ้าคุณอ่านมาได้จนถึงตรงนี้โดยที่ไม่ได้เช็กโทรศัพท์ล่ะก็ อาจจะมีหวังสำหรับคุณเช่นกัน