5+1 บังเกอร์หลบภัยสงครามนิวเคลียร์ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ (ถ้าเงินถึง)
ช่วงนี้ท่าทีของประเทศมหาอำนาจกำลังตึงเครียดเข้าขั้นวิกฤติ แต่ละฝ่ายต่างก็โชว์แสนยานุภาพทางทหารกันแบบไม่มีใครยอมใครและไม่มีทีท่าว่าจะตั้งโต๊ะเจรจากันได้ง่ายๆ ที่น่ากลัวก็คือทุกประเทศที่ว่านี้ล้วนมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในมือและพร้อมจะยิงได้ทุกเมื่อ
หลายคนดูข่าวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กันเพราะหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ คงเละกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาแน่ๆ และเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหาบังเกอร์หลบภัยไว้แต่เนิ่นๆ ข่าวดีก็คือบังเกอร์เหล่านี้มีขายและสามารถสร้างได้เอง (ถ้าเงินถึง) และในวันนี้เราก็ได้นำ 5+1 สุดยอดบังเกอร์หลบภัยสำหรับวันสิ้นโลกที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้มาให้ชมกันครับ
1. คอนโดหรูสู้ทุกมหันตภัยใน Kansas
ถ้าบังเกอร์ใต้ดินธรรมดาๆ มันแคบและซอมซ่อเกินไป และคุณรับไม่ได้กับการต้องใช้ชีวิตหลังวันสิ้นโลกอย่างจืดชืด คอนโดสุดหรูใต้ดินใน Kansas อาจเป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณมากกว่าครับ
คอนโดที่ว่านี้สร้างขึ้นโดยดัดแปลงจากฐานยิงจรวดมิสไซล์สมัยสงครามเย็นที่เลิกใช้งานแล้ว ในส่วนของโพรงเก็บจรวดถูกดัดแปลงให้เป็นคอนโดสุดหรูหลายชั้น เพียบพร้อมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ โรงหนัง และห้องสมุด ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็หายห่วง เพราะ Larry Hall เจ้าของโครงการกล้าการันตีว่าไม่มีอะไรมาทำอันตรายคอนโดใต้ดินนี้ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภัยก่อการร้าย โรคระบาด สงครามนิวเคลียร์ หรือจะเป็นเปลวสุริยะ (Solar flare) ก็ไม่หวั่น เพราะมีการปกป้องด้วยกำแพงคอนกรีตหนา 9 ฟุต และอยู่ลึกลงไปใต้ดินถึง 53 เมตร ต่อให้โลกลุกเป็นไฟผู้อยู่อาศัยทุกคนจะนอนหลับได้อย่างสบายไร้กังวลแน่นอน
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของคอนโดหลบภัยสุดหรูได้ในราคาเริ่มต้นประมาณ 241 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าทุกห้องจะเต็มแล้วในตอนนี้ คงต้องรอเฟสต่อไปแล้วล่ะครับ
2. Atlas Survival Shelter
ถ้าคอนโดใต้ดินเมื่อกี้แพงไป ก็ยังมีบังเกอร์หลบภัยแบบบ้านๆ ให้เลือกเช่นกัน ขอแนะนำให้รู้จักกับ Atlas Survival Shelter บังเกอร์สำเร็จรูปที่ทนทานวางใจได้ ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาทนิดๆ ถูกกว่าคอนโดข้างบนเยอะเลย
Atlas Survival Shelter เป็นบังเกอร์ทรงท่อสำเร็จรูปสำหรับฝังไว้ใต้ดิน 6 เมตรขึ้นไป แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่มากแต่ภายในกลับมีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าที่คิด โดยมาพร้อมกับเตียงที่เก็บของได้, ช่องทางหลบหนีฉุกเฉิน, ห้องเก็บของ, ครัวพร้อมซิงค์ล้างจาน, หลอดไฟแรงดันต่ำ และห้องน้ำ หากยังไม่พอใจสามารถเพิ่มออพชันเป็นทีวีจอแบน, วิทยุ, กล้องวงจรปิด, ถังเก็บน้ำขนาด 300-5000 แกลลอน, ถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 100-500 แกลลอน, เครื่องเล่น DVD, จักรยานปั่นไฟ, ตู้เก็บของและเตียงไม้เร้ดโอ๊คอย่างดี, แผลโซลาร์เซลล์ และอื่นๆ สเปกครบครันไม่แพ้บังเกอร์แพงๆ เลยทีเดียว ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ : Atlas Survival Shelter
3. Silohome
ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างฐานยิงจรวดเอาไว้นับร้อยทั่วประเทศเพื่อคอยรับมือกับการโจมตีจากประเทศคอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายการโจมตีเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น (ซึ่งดีแล้ว) ฐานยิงจรวดจึงถูกทิ้งร้างและเต็มไปด้วยน้ำขัง แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้ไร้ประโยชน์ Bruce Francisco และ Gregory Gibbons ได้เปลี่ยนฐานร้างใกล้ทะเลสาบ Placid ในสวนป่า Adirondack ให้เป็นบ้านพักสุดหรูท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นแนวคันทรี่ชนิดที่ว่าใครเห็นเป็นต้องอิจฉา
แต่ทีเด็ดที่แท้จริงของบ้านหลังนี้คือบังเกอร์ใต้ดิน 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมห้องนั่งเล่นและห้องครัว ซึ่งดัดแปลงมาจากห้องควบคุมการยิงจรวดเก่า นอกจากนี้ยังมีปล่องจรวดโล่งๆ ลึกลงไปอีก 9 ชั้นซึ่งมีพื้นที่กว่า 1,114 ตารางเมตร เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ที่เอาไปทำอะไรได้หลายอย่างและเป็นบังเกอร์หลบภัยชั้นดี นอกจากนี้ยังมีที่ดินรอบๆ อีก 20 เอเคอร์ ทั้งหมดนี้คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคา 60 ล้านบาทครับ
4. บ้านใต้ดินของ Henderson
บ้านเลขที่ 3970 ถนน Spencer ใน Las Vegas ดูเหมือนบ้านแบบอเมริกันทั่วๆ ไปเมื่อมองจากภายนอก แต่ที่น่าสนใจก็คือสิ่งที่อยู่ใต้บ้านหลังนี้ ซึ่งก็คือบังเกอร์ใต้ดินขนาด 1,412 ตารางเมตร
บ้านหลังนี้สร้างโดยนักธุรกิจ Girard “Jerry” B. Henderson ในยุค 1970 ทำให้มันถูกตกแต่งในสไตล์ยุค 70 ไปด้วยทั้งห้องครัวและห้องน้ำสีชมพู หญ้าปลอม ต้นไม้ปลอม และยังวาดกำแพงให้เป็นทิวทัศน์ราวกับอยู่ท่ามกลางหุบเขาในชนบทอีกด้วย
เพื่อไม่ให้การใช้ชีวิตหลังสงครามนิวเคลียร์เปลี่ยวเหงา บ้านหลังนี้ยังมีสวน (ปลอม) ไว้ให้ทำกิจกรรมสันทนาการกันด้วย ทั้งหลุมพัตกอล์ฟ 4 หลุม สระว่ายน้ำ อ่างน้ำร้อน ซาวน่า แดนซ์ฟลอร์ บาร์ เตาปิ้ง BBQ และไฟที่สามารถเซ็ตให้เป็นบรรยากาศแบบกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ หากเซ็ตเป็นกลางคืนยังมีดาวให้ดูด้วย
หลังจากที่ Henderson และภรรยาเสียชีวิตในช่วงปี 1980 บ้านหลังนี้ตกเป็นของญาติ และสุดท้ายบ้านหลังนี้ก็ถูกธนาคารยึดไป และขายทอดตลาดในราคา 60 ล้านบาท
5. The Everything-Resistant House
บ้านหรูหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Hollywood Hills กำแพงสีขาวตกแต่งด้วยภาพเขียนวิจิตรสวยงาม มองออกไปทางหน้าต่างเห็นวิวเมือง Los Angeles ดูเผินๆ ก็บ้านหรูธรรมดาแต่เอาเข้าจริงแล้วบ้านหลังนี้น่าจะเรียกว่าป้อมปราการมากกว่า เพราะบ้านหลังนี้มีชื่อว่า "The Everthing-Resistant House" หรือ "บ้านที่ป้องกันได้ทุกอย่าง" โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสุดยอด ประตูทุกบานล็อคด้วยระบบ biometric เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กลึก 30 ฟุตพร้อมรับมือแผ่นดินไหว และในบ้านยังมีห้องนิรภัยสุดกว้างขวางขนาด 232 ตารางเมตรที่ป้องกันขีปนาวุธได้ทุกประเภท แข็งแกร่งชนิดที่ว่าเจออะไรก็ไม่สะเทือนเลยทีเดียว
เหตุผลที่บ้านหลังนี้สุดจะแข็งแกร่งนั้นก็เพราะมันเป็นบ้านของ Al Corbi ผู้ก่อตั้งบริษัท SAFE (Strategically Armored Fortified Environments) ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยระดับโลกนั่นเอง หากใครเงินเหลือและอยากได้บ้านแบบนี้บ้าง ทาง SAFE สามารถสร้างให้คุณได้ ในราคา 1,400 ล้านบาท
6. อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์
อันดับที่ 6 เป็นบังเกอร์ที่ไม่ได้มีไว้ขายและไม่ได้มีไว้สำหรับมนุษย์ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความอยู่รอดของมนุษย์เช่นกัน เพราะหากมนุษย์รอดจากสงครามนิวเคลียร์ แต่ต้นไม้พืชพันธุ์ทั้งหลายบนโลกกลับถูกเผาผลาญจนสูญพันธุ์ไปสิ้นก็คงไม่มีความหมายอะไร ด้วยเหตุนี้ อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์ (Svalbard Global Seed Vault) จึงถือกำเนิดขึ้นมาครับ
อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์ เป็นบังเกอร์นิรภัยที่มีไว้เพื่อเก็บตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ของพืชทั้งหมดบนโลกนี้เท่าที่จะรวบรวมมาได้ เพื่อให้รอดพ้นจากมหันตภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เกาะ Arctic Svalbard ในประเทศนอร์เวย์ ห่างจากขั้วโลกเหนือเพียง 1,300 กิโลเมตรเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเรือโนอาห์ของเหล่าพืชพันธุ์นั่นเอง
โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่รัฐบาลนอร์เวย์ กองทุนความหลากหลายแห่งธัญพืชของโลก (Global Crop Diversity Trust) และศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมแห่งนอร์ดิก (Nordic Genetic Resource Center) ใช้ทุนสร้างราว 300 ล้านบาท และยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการดูแลจากหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร, นอร์เวย์, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์ และสวีเดน ไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนา 4 ประเทศอย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย และอินเดีย
แม้ว่าบางคนอาจจะโชคดีหนีภัยสงครามนิวเคลียร์ลงไปอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินได้ แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่บนโลกคงไม่โชคดีแบบนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามสงครามไม่ควรเกิดขึ้นอีกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ สุดท้ายนี้ก็หวังว่าสันติภาพจะอยู่กับเราต่อไปครับ