รวม 12 ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้อยากให้ iPhone 7 มีมากที่สุด
รวม 12 ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้อยากให้ iPhone 6s (หรือ iPhone 7) มีมากที่สุด ... แต่จะเป็นจริงไหมอีกเรื่อง!!!
ช่วงนี้กระแสข่าวของ iPhone 6s และ 6s Plus กำลังมาแรงจริงๆ ครับ ถึงแม้ว่าทาง Apple จะเป็นบริษัทหนึ่งที่เก็บความลับในผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เก่งมาก(แต่จาก 1 - 2 ปีหลังมานี้ดูเหมือนว่าจะเก็บไม่ค่อยอยู่เท่าไร)
ทำให้หลายๆ สำนักข่าวต่างไม่สามารถที่จะคาดเดาได้อย่างแน่นอนครับว่า iPhone 6s และ 6s Plus นั้นจะมาในรูปแบบใด(หรือไม่แน่อาจจะเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone 7 ก็เป็นได้)
ล่าสุดไม่นานมานี้ทาง Cnet จึงได้ทำการรวบรวมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ต้องการให้ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus(หรืออาจจะเป็น iPhone 7) ออกมาครับ จะมีอะไรบ้างนั้นและจะตรงใจกับสิ่งที่คุณคาดคิดไว้รึเปล่าลองไปดูกันได้เลย ครับ
1. มาพร้อมกับ IR (infrared) ในตัว
การที่มี IR (Infrared) มาในตัวนั้นก็จะทำให้ iPhone มีความสามารถที่จะกลายเป็นรีโมทแบบพกพาสำหรับใช้งานกับทีวีหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้อินฟราเรดได้ครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของทาง Samsung นั้นก็มาพร้อมกับ IR ตั้งแต่ในสมัย Galaxy S4 แล้วครับ ถามว่าจำเป็นไหมที่ควรจะต้องมี คำตอบนี้ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ครับ แต่ถ้าพูดถึงว่า Apple ต้องการที่จะส่งเสริมผลิตภัณฑ์อย่าง Apple TV แล้วหล่ะก็ การมี IR ติด iPhoneไว้ก็คงไม่เสียหลายครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 5%
2. รองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย
ในปัจจุบันนี้ถ้าคุณต้องการที่จะชาร์จ iPhone 6 แบบไร้สายแล้วหล่ะก็คุณจะต้องทำการซื้อที่ชาร์จแบบไรสายเพิ่มมาเพื่อประกอบ เองซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของเคสครับ หรืออาจจะดีหน่อยก็เป็นแผงรับกระแสไฟอย่างของ iQi Mobile ที่ไม่ต้องใช้เคสครอบเครื่อง(ตามรูป ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่ชอบแนวนี้)
อย่างไรก็ตามหากจะว่าไปแล้วสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปัจจุบันหลายๆ ค่ายนั้นก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สายในตัวอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy S6 และ S6 Edge หรือ Sony Xperia Z3v บางรุ่นก็มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านเทคโนโลยี Qi อย่างเช่น Samsung Galaxy S5 ที่มีเคส S-View Flip Cover ขายแยกต่างหากในราคา $70 หรือประมาณ 2,310 บาทครับ
ทั้งนี้ดูจากการที่ Apple Watch นั้นมาพร้อมกับระบบการชาร์จไฟไร้สายแบบเหนี่ยวนำแม่เหล็กแล้ว ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันครับว่าใน iPhone รุ่นถัดไปอาจจะมาพร้อมกับความสามารถเช่นเดียวกันนี้ด้วย ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องดูกันต่อไปก็คือทาง Apple ได้บอกเอาไว้ครับว่าเทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีของทาง Apple เองไม่ใช่เทคโนโลยีมาตรฐานอย่าง Qi หรือ PMA (Power Matters Alliance) ครับดังนั้นแล้วหากจะใช้งานก็คงต้องใช้แต่กับของทาง Apple อย่างเดียวหล่ะครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 25%
3. หน้าจอ Home Screen และ Widgets ที่สามารถปรับแต่งได้เอง
หนึ่งในข้อดีเลยที่ทำให้ Android นั้นดูดีกว่า iOS มาตลอดก็คือความสามารถในการปรับแต่ง Home Screen และ Widgets ต่างๆ ได้ตามใจที่ผู้ใช้ต้องการครับ อาจจะมีผู้ใช้หลายส่วนบอกว่า iOS นั้นให้ความรู้สึกในการใช้งานที่ง่ายและไม่ยุ่งยากมากกว่า แต่การปล่อยให้ผู้ใช้ได้ทำการปรับแต่งหน้าจอให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ได้เองนั้นยังไงก็ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้วครับ
จริงๆ แล้วเราได้เริ่มเห็นการปรับแต่งที่มากขึ้นมาตั้งแต่ในสมัย iOS 7 และ iOS 8 แล้วครับ ทว่าการปรับแต่งที่ได้เห็นกันนั้นถ้าเทียบกับฝั่ง Android แล้วก็ยังถือว่าน้อยกว่ามาก(บางคนยังบอกว่า iOS ปรับแต่งได้น้อยกว่า Windows Phone อีกครับ) แถมยังไม่ค่อยจะยืดหยุ่นเท่าไรอีกต่างหาก แต่กระนั้นหากจะให้ iOS สามารถปรับแต่งได้เหมือน Android ก็คงจะยากหน่อยหล่ะครับเพราะทาง Apple เองก็ค่อนข้างที่จะมีแนวทางของตัวเองเด่นชัดในเรื่องนีั้อยู่ครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 20%
4. มาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำ
ความสามารถในการกันน้ำได้นั้นเราได้เห็นกันในสมาร์ทโฟนเรือธงระบบปฏิบัติการ Android กันหลากหลายยี่ห้อครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วการมาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทั้ง ข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน ข้อดีนั้นก็คงหนีไม่พ้นการป้องกันที่เพิ่มขึ้นโดยหากถ้าเราเผลอทำสมาร์ทโฟน ตกน้ำก็สามารถที่จะรีบเอาขึ้นมาได้ทันก่อนที่จะมีอันตรายกับวงจรภายใน(อย่าง เช่น Samsung Galaxy S5 ที่อยู่ในน้ำได้ถึง 30 นาที)
แต่ถ้าพูดถึงข้อเสียแล้วอาจจะมากกว่าครับ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน รวมไปถึงการป้องกันที่ต้องมีการปิดกั้นช่องเชื่อมต่อต่างๆ ไว้อยู่ตลอดเวลา(อย่างช่องเสียบหูฟังเป็นต้น) ทำให้เราได้เห็นว่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอย่าง Galaxy S6 และ S6 Edge นั้นไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำแล้ว(ซึ่งเหตุผลน่าจะมาจากเรื่อง ราคาเป็นสำคัญ) ดังนั้นทางฝั่ง iPhone เองก็มีความเป็นไปได้น้อยมากครับที่จะมาพร้อมกับความสามารถนี้
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 10%
5. มาพร้อมกับชิปเซ็ทที่มีความเร็วมากขึ้น พร้อมกับความสามารถในการประมวลผลกราฟิกที่มากกว่าเดิม และหน่วยความจำขนาด 2 GB
สำหรับหัวข้อนี้เป็นหัวข้อเดียวที่มั่นใจได้เลยครับว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าในปีนี้ iPhone รุ่นใหม่นั้นจะเป็นรุ่นที่ลงท้ายด้วย s หรือรุ่นตัวเลขใหม่ก็ตาม แต่เชื่อได้ว่าทาง Apple จะต้องมีการอัพเกรดในส่วนของชิปเซ็ทสำหรับ iPhone รุ่นใหม่อย่างแน่นอนครับ ที่น่าสนใจก็คือว่าชิปเซ็ทรุ่นใหม่นี้(ซึ่งหลายๆ สำนักคาดการณ์ว่าจะเป็นชิปเซ็ทรุ่น A9) จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิมมากน้อยแค่ไหน
อีกสิ่งหนึ่งที่ควบคู่กันกับการอัพเกรดชิปเซ็ทในครั้งนี้นั้นก็คือเรื่องของ หน่วยความจำ(Ram) ที่มีกระแสข่าวมาอย่างหนาหูมากครับว่า iPhone รุ่นถัดไปจะถูกอัพเกรดให้มาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 2 GB สักที(จาก 1 GB) ซึ่งความเป็นไปได้ในเรื่องนี้นั้นอาจจะบอกได้ยากพอสมควรครับเนื่องจากว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น iOS ไม่ใช่ระบบปฎิบัติการที่ใช้หน่วยความจำมากเท่าไรนัก แต่เพื่อให้ตัวระบบปฎิบัติการรองรับการใช้งานที่เพิ่มกว่าเดิม(อย่างเช่นการ ใช้แอปพลิเคชัน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน) การเพิ่มหน่วยความจำมานั้นก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 90%
6. กระจกกันหน้าจอที่ทนทานมากขึ้นกว่าเดิม
กระจกกันหน้าจอนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีกระแสข่าวแตกออกไปหลายกระแสครับ โดยก่อนที่ iPhone 6 และ 6 Plus จะออกมานั้นได้มีกระแสว่า Apple จะใช้กระจกกันหน้าจอที่เป็น Sapphire ซึ่งทาง Apple บอกว่าเป็นกระจกที่มีความทนทานสูงมาก แต่พอ iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นออกมาแล้วนั้นกลับพบว่าไม่ได้มาพร้อมกับกระจกกันหน้าจอแบบ Sapphire ครับ
แน่นอนครับว่ากระแสเรื่องกระจกกันหน้าจอแบบ Sapphire นั้นก็ตามมาถึง iPhone รุ่นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน แต่จากกระแสแล้วพบว่าอ่อนกว่าปีที่แล้วเยอะมากครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าทาง Corning เองที่มีกระจกกันหน้าจอชื่อ Gorilla Glass ที่หลายๆ ค่ายสมาร์ทโฟนเลือกใช้กันนั้นก็ออก Gorilla Glass ในรุ่นที่ ซึ่งทางบริษัทยืนยันว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากระจกกันหน้าจอแบบ Sapphire อีกด้วยครับ(น่าจะเป็นเหตุผลทางด้านราคา)
อย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ครับว่าเทคโนโลยีกระจกกันหน้าจอแบบใดที่ดี ที่สุด คงได้แต่หวังครับว่าทาง Apple จะเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดมาลงกับ iPhone รุ่นถัดไป
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 25%
7. การใช้งาน NFC ที่เปิดกว้างมากกว่า Apply Pay
ถึงแม้ว่า Apple จะใส่ NFC มาใน iPhone 6 และ 6 Plus แล้วแต่การใช้งานนั้นก็จำกัดอยู่แค่ใช้ร่วมกับบริการจ่ายเงินดิจิทัลอย่าง Apple Pay เท่านั้นครับ ซึ่งหากเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับ NFC ที่สามารถใช้งาน NFC ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้แล้วนั้นเรื่องนี้ทำให้ Apple กลายเป็นตามหลังไปซะอย่างงั้นก็ว่าได้ครับ
ยิ่งในปัจจุบันเรายิ่งเห็นอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อผ่าน NFC มากขึ้นดังนั้นแน่นอนครับว่าทาง Apple จึงไม่น่าจะอยู่เฉยได้แน่ๆ ครับ โดยจากที่เราได้เห็น Apple เปิด API ของ TouchID ออกมาให้นักพัฒนาได้ใช้กันนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียวครับว่าใน iOS 9 นั้นทาง Apple น่าจะเปิดให้ใช้ NFC ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้มากกว่าให้ใช้กับ Apple Pay เพียงอย่างเดียว
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 75%
8. มาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นบนขนาดตัวเครื่องเท่าเดิม
จากระยะหลัง 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้เราได้เห็นพัฒนาการของหน้าจอ iPhone ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ปีครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใน iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นนั้นมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเดิมมาก แต่เมื่อเอาไปเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของ Android อย่าง LG G4 หรือ Samsung Galaxy Note 4 แล้วกลับยังพบว่า iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นนั้นยังมีขอบหน้าจอที่หนาอยู่ครับ
เรื่องนี้อาจจะไม่เป็นปัญหาในการใช้งานกับบางคนครับ แต่กับบางคนนั้นการได้สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับขอบจอบางในขนาดเท่าเดิมก็ดูจะ เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย แต่ดูแล้วความเป็นไปได้ในเรื่องนี้น่าจะยากครับ เพราะหน้าจอที่ขนาด 4.7 และ 5.5 นิ้วของ iPhone 6 นั้นก็พอเหมาะดีอยู่แล้ว Apple จึงยังไม่น่าจะทำการขยายขนาดหน้าจอเพิ่มขึ้นในปีนี้ครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 5%
9. ขนาดของแหล่งเก็บข้อมูลภายในเริ่มต้นที่ 32 GB
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีตัวแปรคือเรื่องราคาเต็มๆ เลยครับ โดยในปี 2014 ที่ผ่านมากับ iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่นนั้นเราได้เห็น Apple ขยับขนาดของแหล่งเก็บข้อมูลภายในไปมากกว่าเดิมอยู่ที่ 128 GB(มากที่สุด) แต่รุ่นเริ่มต้นนั้นยังมีขนาดอยู่ที่ 16 GB อยู่ซึ่งหากพูดไปแล้วในปัจจุบันนั้นคงไม่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแล้วครับ
ยิ่งได้เห็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของ Android มาพร้อมกับรุ่นที่มีแหล่งเก็บข้อมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 32 GB แล้วทาง Apple เองก็น่าจะทำตามครับ(เพราะ iPhone นั้นไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถในการเพิ่ม microSD Card เข้าไปได้) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของบรรดานักวิเคราะห์เท่านั้น เพราะหากมองในความเป็นจริงแล้ว Apple น่าจะพยายามทำให้ราคาของ iPhone ต่ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่าที่จะสนใจเพิ่มขนาดของแหล่งเก็บข้อมูล ภายในเพราะทาง Apple เองก็มีบริการ Apple iCloud อยู่แล้วครับ
การที่ Apple สามารถชักจูงให้คนหันไปซื้อพื้นที่เพิ่มเติมบน iCloud ได้นั้นก็จะเป็นผลดีกับทาง Apple มากกว่าครับ เนื่องจากว่าผู้ใช้จะต้องมีการจ่ายเงินในการสมัครสมาชิกแบบต่อเนื่องราย เดือนหรือรายปี ซึ่ง Apple จะสามารถเก็บค่าบริการตรงส่วนนี้ได้ตลอดไป ไม่เหมือนกับการที่ขาย iPhone ที่จะขายได้เพียงครั้งเดียวครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้า Apple จะแข่งกับคู่แข่งฝั่ง Android จริงๆ แล้ว ในปีนี้เราน่าจะได้เห็นการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลภายในระดับเริ่มต้นความจุ ขนาด 32 GB กันก็ได้ครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 25%
10. การอัพเกรดกล้องที่ดีขึ้นกว่าเดิม
หากจะว่าไปแล้วกล้องบน iPhone นั้นถือว่าดีกว่ากล้องบนสมาร์ทโฟนระดับเรือธงหลายๆ ตัวของทาง Android ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่แฟนๆ อาจจะไม่ค่อยพอใจกันมากเท่าไรนักก็คือการที่กล้องของ iPhone นั้นยังย่ำอยู่กับที่ไม่ค่อยได้มีการพัฒนามากขึ้นกว่าเมื่อ 2 - 3 ปีที่แล้วเท่าไรนัก แถมนักวิเคราะห์จากหลายๆ สำนักยังบอกอีกครับว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ Apple จะทำการพัฒนาเพิ่มเติมลงไปบนกล้อง iPhone ได้
จากกระแสข่าวที่ออกไปก่อนหน้านี้ก็ตอบรับกับเรื่องนี้เป็นอย่างดีครับ โดยมีการคาดการณ์(รวมถึงข่าวหลุด) ว่ากล้องของ iPhone รุ่นถัดไปนั้นจะอัพไปมีความละเอียดที่ระดับ 12 MP หรือไม่ก็ iPhone รุ่นขนาดจอ 4.7 นิ้วจะมาพร้อมกับระบบ optical image stabilization เหมือนกับบน iPhone 6 Plus ทั้งนี้ก็คงจะต้องคอยดูกันต่อไปครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 90%
11. อายุการใช้งานแบตเตอรี่อยู่ที่อย่างน้อย 2 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
จากแนวทางของ iPhone ในทุกๆ ปีที่ผ่านมานั้นเราจะได้เห็นครับว่า iPhone รุ่นใหม่นั้นจะมาพร้อมกับขนาดที่บางลงกว่าเดิมในทุกๆ ปี แถมชิปเซ็ทที่ใช้งานบนตัวเครื่องนั้นก็จะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกันในทุกๆ ปีไม่ว่าจะเป็นส่วนของ CPU หรือ GPU สิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือการเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่ให้มีความจุเพิ่มขึ้นเพื่อ รองรับการใช้งานกับการอัพเกรดนั้นๆ ครับ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บน iPhone 6 ทั้ง 2 รุ่น)
แต่ครับแต่ถึงแม้ว่าขนาดของแบตเตอรี่จะใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตามระยะเวลาใน การใช้งานของ iPhone นั้นก็ไม่ได้มากกว่าเดิมไปสักเท่าไรครับ โดยจะเห็นได้ว่าตามเว็บบอร์ดต่างๆ นั้นมีผู้ใช้หลายๆ คนออกมาบ่นเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นเฉพาะบน iPhone เท่านั้นครับเพราะสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android เองก็มีปัญหานี้เช่นกัน
ดังนั้นแล้วสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้คาดหวังกับ iPhone รุ่นถัดไป(รวมถึงสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android หรือ Windows Phone) ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งนี่แหละ ครับ แต่เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่คงไม่สามารถจะทำการแก้ไขได้จากทางฝั่ง Apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงว่าต้องมีการปฏิวัติเทคโนโลยีแบตเตอรี่ครั้งใหญ่เลยครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 20%
12. ฟีเจอร์ที่ iPhone ไม่เคยมี แต่เชื่อว่าผู้ใช้ iPhone มากกว่าครึ่งอยากให้มี
ท้ายที่สุดกับฟีเจอร์หลายๆ อย่างที่แฟนๆ iPhone อยากให้มีมานานแต่ยังไงก็คงไม่สามารถจะได้เห็นกันบน iPhone ได้อย่างเช่นความสามารถในการถอดฝาหลังเพื่อทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เองหรือความสามารถในการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลแบบ microSD Card ครับ ฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้เราได้เห็นกันมานานบนสมาร์ทโฟนฝั่ง Android และ Windows Phone
แต่กับ iPhone แล้วเขาก็มีเหตุผลของเขาเองครับ ว่ากันแล้วถ้าอยากให้มีจริงๆ ก็อาจจะลงแรงส่งเสียงไปยัง Apple กันหน่อยคนละไม้คนละมือ แต่ Apple จะแหวกม่านทำให้ไหมนั้นก็ไม่สามารถที่จะบอกได้นะครับ
ความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง : 0%
ที่มา : cnet
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ