Full Review iPhone6 ใหญ่ขึ้น อึดขึ้น ยาวขึ้น และ บางขึ้น !!

Full Review iPhone6 ใหญ่ขึ้น อึดขึ้น ยาวขึ้น และ บางขึ้น !!

Full Review iPhone6 ใหญ่ขึ้น อึดขึ้น ยาวขึ้น และ บางขึ้น !!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Full Review iPhone6 ใหญ่ขึ้น อึดขึ้น ยาวขึ้น และ บางขึ้น !!

สวัสดีครับ ก็เจอกันเป็นประจำกันเสมอเมื่อมี iPhone รุ่นใหม่หรือ iPad รุ่นใหม่ออก ซึ่งครั้งนี้ผม Review ช้ากว่ากำหนดเดิมถึง 4 วันเต็มๆ เพราะต้องการที่เปลี่ยนการเขียนแบบใหม่ ด้วยการอยู่กับของในมือให้นานขึ้นกว่าเดิม และ ต้องการจะแก้ไขการ Review เป็นแบบจัดเต็ม

ครั้งนี้เลยทิ้งเวลายาวนานกว่าเดิมเพื่อที่จะนั่งเทสนั่งทดสอบเล่นในทุกสถาวะให้นานกว่าเดิม เลยทิ้งช่วงกันไปยาวๆ มาตอนนี้ผมพร้อมแล้วครับ ที่จะมาเล่าให้ฟังถึงการใช้งานเต็มๆ iPhone6 จากผมเอง เบียร์ ครับ

เริ่มกันที่ส่วนแรกกล่อง ซึ่งตัวของกล่องสำหรับใส่ตัวเครื่อง iPhone6 ในครั้งนี้นั้นมาแปลกกว่าของทุกครั้ง เพราะครั้งนี้กล่องไร้ซึ่งสีสันแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งสบายตากว่ามาก ภายในกล่องก็บรรจุอุปกรณ์พื้นฐานที่ทาง Apple ได้ผลิตติดมาให้ได้แก่สาย USB Lighting, ปลั้ก 3 ขา (ในเมืองไทยเป็นแบบ 2 ขาตัวเล็ก) และหูฟัง Apple Ear Pod บรรจุอยู่ในกล่อง มาพร้อมคู่มือและวิธีใช้งานเบื้องต้น 3 ภาษา พร้อมสติกเกอร์ Logo ของ Apple 2 แผ่น และ เข็มสำหรับถาดซิม 

แรกสัมผัสนั้นแปลกมือกว่าแต่ก่อนอยู่พอสมควร เพราะครั้งนี้มันมาพร้อมกับความบางที่บางกว่าเดิมมากบางมากที่สุดถึง 6.9 มิลลิเมตร และ มีน้ำหนักโดยรวมที่ 129 กรัม ก็นับว่าจับๆ ตอนแรกก็เอาหลอนมือไปสักพัก เพราะไม่คุ้นและไม่ชินกับน้ำหนักและขนาดใหม่ของมัน ทำเอาจะทำตกหลายครั้งเพราะมันเบามากจนแทบจะไม่รู้สึกว่ายกมันขึนมาจากกระเป๋ากางเกง

ถ้าให้พูดจริงๆ คือความเคยชินจากตอนที่เราหยิบ iPhone 5S ออกมาจากกระเป๋า แล้วลองจับดู ซึ่งมันแปลกจากทุกครั้งใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะชินมือ

หน้าจอที่้ทำมาใหม่ขนาด 4.7" ซึ่งในตอนแรกที่จับและใช้งานจริง ต้องบอกเลยว่าถ้าคนที่คุ้นตาและชินตา่จาก Apple มาก่อนทุกรุ่นจะมีความรู้สึกว่า หน้าจอมันแค่ยาวขึ้น ไม่ได้ขยายออกข้างๆ ให้มันกว้างขึ้นสักเท่าไรนัก อาจจะผมใช้หลายรุ่นมากก็ได้เลยทำให้รู้สึกว่ามันจอกว้างไม่เท่ากับ Galaxy S5

แต่โดยรวมมันเป็นแค่ความรู้สึก เพราะหากใช้งานใน App แล้วจะเห็นข้อแตกต่างจากรุ่นเดิมที่ชัดเจนมากๆ ว่ามันกว้างขึ้น และ ใช้งานสะดวกสบายตาจริงๆครับ

ปุ่ม Sleep ถูกย้ายมาอยู่ด้านข้างขวาของตัวเครื่องแทน อยู่บริเวณด้านบน ซึ่งเป็นที่จับถนัดมือกดถนัดนิ้วมากกว่ารุ่นก่อนมากที่อยู่ข้างบน และจุดที่อยู่ตรงนี้เวลาเราใช้นิ้วชี้มือซ้ายกดเอาถนัดมือและนิ้วมาก

ถ้าคนถนัดมือขวา ก็จะเป็นนิ้วโป้งขวาแทน ก็แล้วแต่ความถนัดครับ ส่วนตรงนี้ผมถนันทั้งสองนิ้วโดยรวมถือว่าสบายนิ้วดี และ ถาดสำหรับใส่ซิมอยู่ด้านขวาเหมือนเดิมตำแหน่งเดิม โดยที่เครื่องใช้งานแบบ Nano-Sim ครับ

ด้านซ้ายมือของเครื่องจะเป็นปุ่มลดและเพิ่มเสียง รวมทั้งสวิตซ์สำหรับตั้งค่าสั่นเครื่องอย่างเดียวสำหรับการปิดเสียง ซึ่งโดยรวมอยากที่แจ้งไปตอนแรกว่าเครื่องนั้นมีความบางที่บางมากกว่าเดิมอยู่พอสมควร ทำให้สวิตซ์ต่างๆจากที่เคยทำออกมาแบบกลมๆ เลยทำเป็นแบบยาวแทน

แต่เวลากดนั้นไม่ต้องออกแรงอะไรมากและถนัดนิ้วกว่าเดิมด้วยตรงที่มันยาวนั้นเองครับ แต่มีปัญหาเล็กน้อยตรงที่สวิตซ์สับสั่นนี้แหละ ที่มันมีขนาดเล็กมากและดันไปโค้งมนกับตัวเครื่องด้วยทำให้เวลาสับสั่นบางที จะต้องเอาเล็บไปจิกเพื่อสับสันครับ 

ที่ด้านบนของตัวเครื่องนั้นดูโล่งๆ ไม่มีอะไรเพราะปุ่ม Sleep นั้นถูกย้ายไปด้านขวาของเครื่องแล้วนั้นเองครับ ทำให้ส่วนด้านบนของตัวเครื่องนั้นโล่งไม่มีอะไรเลย 

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องนั้นมีการแยกส่วนต่างๆออกจากกันไม่ได้ทำเหมือนกันแบบเมื่อก่อนแล้ว โดยที่ลำโพงจะเป็นรูๆ ทั้งหมด 6 ช่อง และช่องสำหรับเสียบชาร์ตด้วยสาย usb lighting พร้อมทั้งช่องไมโครโฟนอยู่ติดกับช่องสำหรับเสียบหูฟังขนาด 3.5 ครับ 

ส่วนด้านหลังของตัวเครื่อง iPhone6 Plus นั้นสำหรับหลายๆ คนมองว่าขัดหูขัดตาที่สุดอีก 1 สิ่งก็คือเลนซ์ของกล้องหลังนั้นนู่นออกมาจากตัวเครื่องถึง 0.9 มิลลิเมตร

ถ้าหากให้พูดตรงๆ ก็คือถ้าวางเครื่องแบบที่ไม่ใส่เคสลงไปกับพื้นส่วนแรกที่จะโดนพื้นก็คือกล้องครับ แต่สำหรับผมมองๆว่า มันไม่ได้เป็นปัญญาเลยครับ

มาถึงส่วนที่เรียกได้ว่าขัดใจอีกหนึ่งส่วนที่ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้ชอบตรงการออกแบบฝาหลังเลยครับ จากตอนแรกที่ iPhone 5S สีทองนั้นเป็นสีที่โดยรวมผมชอบที่สุด เพราะมันลงตัวมากไม่ว่าเรื่องของสีและชิ้นส่วนต่างๆ

มาถึง iPhone 6 ผมมาดูฝาหลังที่ตัดกับเซ็นเซอร์ต่างๆ แล้วบอกตรงๆ ตอนแรกทำใจว่า ถ้าเอาสีขาวมันไม่น่าจะตัดสีกับเส้นของเซ็นเซอร์มาก แต่พอเข้าจริงๆ ไปดูของจริง แทบไม่ได้แตกต่างอะไรจากสีทองเลย ผมเลยตัดสินใจเอาสีนี้เพราะใช้เองอยู่แล้ว

โดยรวมถือว่าจัดเต็มมากเรื่องฝาหลัง เพราะทำออกมาสีไหนก็เอาสีนั้นไปเลยทั้งแผ่นครับ 

ถามถึงโดยรวมจากการใช้งานครั้งแรกในมือและตอนแรกที่ใช้ก็รู้สึกแปลกๆ อาจจะเพราะไม่คุ้มมือในร่างที่มันขยายใหญ่ขึ้น (ยิ่ง iPhone6 Plus เดียวรออ่านนะ) แต่พอใช้มาได้สักวันเริ่มคุ้นๆ มือแล้วและลองเล่น App ต่างๆดูบาง เดียวมาดูช่วงๆต่อไปครับ มันแตกต่างยังไงกับ iPhone5S บาง ณ ตอนนี้ผมบรรยายได้เท่านี้ครับ

 ข้อมูลเฉพาะ iPhone6 ครับ


ขนาด กว้าง x ยาว x สูง : 138.1 x 67.0 x 6.9 น้ำหนัก 129 กรัม


 หน้าจอแบบ Retina HD ขนาด 4.7" แบบ LED-backlit widescreen Muti-Touch display with IPS technology ความละเอียดที่ 1334 x 750 326 PPI 


 ฃใช้ CPU หลักเป็น Apple A8 ความเร็ว 1.4 Duel Core มาตรฐาน 64 Bit และ ใช้GPU เป็นแบบ M8 ที่มีความเร็วและการประมวลผลที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า


ตัวกล้องมีความละเอียดที่ 8MP ใช้ระบบการจัดภาพ iSight camera with 1.5µ pixels มี Auto Focus ใช้ Hybrid IR filter มาพร้อม Backside illumination sensor ตัวเลนซ์กล้องมี Sapphire crystal lens cover ป้องกันการเป็นลอยจากการขีดขูด พร้อมทูโทรนแฟลต


 บันทึก VDO ความละเอียด 1080P พร้อมทูโทรนแฟลต และใช้ฟังชั่น Slo-mo แบบใหม่ที่ 120FPS และ 240 FPS มีฟังชั่น Time lapse และใช้งานการซูม VDO ได้ 3 เท่า

 

 กล้องหน้า 1.2MP ที่ความระเอียดสูงสุด 1280x960 บันทึก VDO กล้องหน้าความละเอียด 720P มี Auto HDR ในการปรับแสง และ รับแสงทั้งหมดประมวลผลด้วย GPU M8 พร้อม Facetime HD 

 

 ข้อมูลโดยรวมของตัวเครื่องทั้งหมดภายนอก

ข้อมูลการใช้งานและใช้งานแบตในเครื่องทั้งหมด

 

 ข้อมูล Sensor ทั้งหมดในเครื่องที่ iPhone6 สามารถทำได้

 

รายชื่อ App ทั้งหมดที่มากับเครื่องในตอนแรกตั้งแต่แกะกล่อง(iOS 8)

บท Review เข้าสู้หน้าจอเครื่องครั้งแรก

 

เมื่อทำการ Activion แล้ว iPhone6 จะสอบถามการตั้งค่าหน้าจอครั้งแรก ซึ่งไม่เหมือนรุ่นเก่าๆก่อนหน้า


จะมีให้ตั้งค่าหน้าจอแบบ Standard และ Zoom ซึ่งใครคุ้นเคยกับแบบเดิมๆของ iPhone รุ่นก่อนๆก็เลือกแบบ Zoom ครับแต่ผมมาจุดๆ นี้แล้วอยากลองของใหม่เลยจัดแบบ Standard ไปเลย ซึ่งแบบ Standard จะมีการหดของ icon ลงไป และ แบบ Zoom จะมี icon ที่ขยายใหญ่ขึ้นจนเกือบเต็มเนื้อที่เหลือของหน้าจอ


แน่นอนว่าเลือกแบบไหนจะมีพรีวิวให้เราได้ดูก่อน ซึ่งความแตกต่างจะต่างกันก็ตรงนี้แหละครับ ถ้าใครเลือกแบบ Standard มันจะเป็นจอที่โดนย่อลงไปให้เล็กลง แต่หากเลือก Zoom ทุกอย่างในจอจะดูใหญ่ขึ้นและอ่านสบายตา อยู่ที่สายตาของแต่ละคน


 และหากมองดูดีๆ ทั้งแบบ Standard และ Zoom จะแตกต่างกันแค่เรื่องของขนาด icon และ ตัวขนาดของตัวหนังสื่อและอักษรในหน้าจอ ซึ่งทั้งหมดเราสามารถไปปรับและขยายได้ใน Setting ครับ


เข้าหน้าจอครั้งแรกแบบเต็มๆ ตา เต็มๆ ใจทั้งสองแบบ แบบ Standard รูปซ้าย และ Zoom รูปขวา ทั้งหมดอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนครับว่าชอบแบบไหน ส่วนตัวผมมองแบบ Standard ผมชอบมากกว่าเพราะว่ามันกว้างและแสดงเนื่้อหาในส่วนของ Email และส่วนอื่นๆของตัวอักษรสามารถแสดงได้เยอะมากกว่าในหนึ่งหน้า และ ดูสวยกว่าครับ(ความรู้สึกส่วนตัว)

บทใช้งานจริงกับ App ต่างๆบน iPhone6


อันดับแรกผมเทสจาก App ที่เป็นพวก Social และพวกที่จะต้องใช้การพิมพ์หลักๆเป็นต้นพวก Wechat, Line, Whatsapp เป็นต้น แน่นอนว่า Line ยังคงมีปัญหาหรือบัคของคีย์บอร์ทอยู่การใช้งานไม่มีปัญหานะครับ ยังคงพิมได้ดีปกติ

ถ้าความรู้สึกการพิมต่างๆ ผมบอกว่าถ้าเลือกแบบ Standard มัมพิมไม่แตกต่างจากขนาดเดิมหรือ Zoom เท่าไรเลยครับ เพราะหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมาตรฐานความกว้างของปุ่ม และการพิมไม่ได้แตกต่างหรือลดลงไป ผมกลับพิมเร็วขึ้นกว่าเดิมได้ง่ายเสียด้วยซ้ำครับ

และนี้ก็เป็นตัวอย่างของบัคที่ผมบอกบาง App ของพวกที่เราใช้แชท ซึ่งผมเจอกับ LINE ใน iOS8 ครับ

ที่นี้เรามาลองเล่นเกมที่กิน GPU และ CPU ในเครื่องกันหนักๆบางเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานทั้งหมดของระบบ ผมเลยหยิบ Modern Combat 5 ภาคล่าสุดออกมาทำการทดสอบ

ซึ่งทั้งหมดก็ตามที่แสดงออกตามภาพครับ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากการแสดงผลของ iPhone5S ที่ใช้ GPU M7 มากนัก ยกเว้นพวกแสงสีและประกายต่างๆในเกม ยังคงมีบางส่วนที่มีบัคเช่นฉากต่างๆที่ยังไม่รอบรับการทำงานของ GPU M8 ของ iPhone6 อาจจะทำให้ฉากเบลอ และมองไม่เห็นในบางจุดครับ ส่วนการเล่นนั้นลื่นไหล สบายตาและสบายนิ้วมากครับ สนุกมากจริงๆ จอใหญ่ขึ้นด้วย

คราวนี้มาลองเกมที่ใช้งาน CPU และ GPU ไม่เยอะดูบางว่าการเล่นนั้นจะเป้นยังไง ผมเลยเลือกเอา Cookie Run เกมที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนในการประมวลผล หรือ แสดงผลของเกม เพราะแค่กดกระโดดและหมอบเท่านั้นแหละ จากการทดสอบ ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกับ iPhone5S เลยทั้งภาพและเสียงทั้งหมดแสดงผลได้เหมือนกัน ต่างกันตรงที่ iPhone6 นั้นจอใหญ่กว่าการมองก็ย่อมสบายตากว่า และ การบังคับ และการกดต่างๆก็ต้องง่ายกว่าเช่นกันครับ ดังนั้นไม่มีอะไรแปลกไปจากจุดเดิม

เรื่องของกล้อง iPhone6

อย่างที่บอกกล้อง iPhone6 นั้นสามารถที่จะถ่ายอะไรได้คมชัดมากกว่า iPhone5S มากกว่าเดิมพอสมควร นั้นหมายถึงเราสามารถที่จัด Fucus ได้ใหม่และยังคงเก้บรายละเอียดส่วนต่างๆของภาพได้คมชัด ทั้งแสง และ เงา ตามที่แสงบริเวณตรงที่เราถ่ายภาพเราอยู่ตรงที่จริง มีการปรับแสงและรับแสงได้ดีกว่าเดิมที่น่าสนใจครับ

แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องของการจับ Macro ระยะใกล้ๆของตัวเลนซ์กับตัววัตถุที่เราต้องการจะถ่ายมันก็ยังคงจับระยะใกล้ๆ ไม่ได้ เพราะจับใกล้มันก็จับไม่ติด ตามภาพที่ผมเอามาลง หากไปเทียบกับ S5 และ LG G3 หรือ ตัวโหดอย่าง Z3 ผมบอกตรงๆเลยว่า ตายครับ อันนี้ไม่ได้ประเมิณว่ามันต่ำนะครับ แต่จะสรุปให้ฟังตอนท้ายๆ

 

ทีนี้มาลองตอนกลางคืนดูครับ ภาพที่ได้จากการเปิด Mode HDR ไม่เปิด Flash โดยรวมถือว่ายังดูดีกว่า iPhone5S อยู่ในระดับหนึ่งไม่ว่าจะเป็นการจับภาพและการรับแสงต่างๆ

พอกลาง คืนเหมือนกันที่เดิม ก็ทำการเปิด Flash เพื่อทำการทดสอบ Mode การเปิด Flash ก็พบว่าภาพมีความสว่างที่ดูดีกว่า iPhone5S อยู่ในระดับที่พอใจครับ ไม่ได้สว่างเจิดจรัทเกินไปครับ

พอ มาลองในที่ๆไม่มีแสดงไฟ อาศัยการเปิดแฟชรอย่างเดียว ก็อย่างที่บอกครับFalshนั้นถูกทำออกมาดูดีกว่ารุ่น iPhone5S มากครับ ไม่สว่างเกินไป และการผสมสีของFalshแบบคู่นั้นทำออกมาได้ดูดีกว่ารุ่นก่อนมากครับทำให้ออกมา ดูดีตามแบบในภาพ (อาจจะมืดไปนิดนะครับ)

ต่อไปก็ VDO ครับ

ต่อไปนี้คือไฟล์ VDO 2 อัน อันแรกเป็นไฟล์แบบ 1080P เต็มที่ถ่ายจากกล้อง iPhone6 โดยไม่ผ่าน App อะไร

http://www.youtube.com/watch?v=Te20uX6PkjQ (เลือก 1080P ด้วยนะครับ)

ต่อไปคือไฟล์ VDO อันที่ 2 ครับถ่ายนอกสถานที่ด้วยกล้อง iPhone6 ครับโดยไม่ผ่าน App อะไร (เป็น Mode Slo-mo)

http://www.youtube.com/watch?v=UdJKAx02hE4 (เลือก 720P ด้วยนะครับ)

ส่วนในตรงส่วนนี้ผมอธิบายจากการใช้งานนะครับ คลิปแรก ผมเล่นเกมบนห้างที่เมเจอร์รัชโยธินช่วงเวลา 18.00 น. ซึ่งสถานที่นั้นมืดและไม่มีไฟส่องสว่างเท่าไร แต่การจัดภาพนั้นทำได้ดีปกติ และลื่นไหลมาก รวมทั้งความคมชัด และ การจับภาพในส่วนต่างๆภายในหน้าจอ ทำออกมาได้รายละเอียดครบ และดูรู้เรื่องจนดูสบายตาไปเลย ส่วนไฟล์ที่สอง ผมออกมาถ่ายบนทางด่วนช่วงเวลา 14.00 น. แดดมีฝนไม่ตก ถ่ายออกมาด้วย Mode Slo-Mo ทำออกมาได้ดีมากจับรายละเอียดทั้งหมดบนถนนได้ครบถ้วนโดยสังเกตุจากล้อแม็กซ์ และ รายละเอียดภาพบนถนน ด้วยการกดหยุด VDO ดูสิ่งที่กล้องจับติด


ภาพประกอบข่าว

สรุปเลยแล้วกัน

คือ ....... โดยรวมคะแนนเต็ม 10 ผมให้สำหรับ iPhone6 ทั้งหมด 8.9 คะแนนครับสาเหตุหลักๆ ที่ผมให้เพียงเท่านี้นั้นถ้าไม่ติดบัค iOS8 ที่มีผลต่อ App บางตัวหรือปัญหาการใช้งานอย่างก็เอาไป 9 คะแนนได้ครับ แต่อย่างที่บอกว่ามันยังคงมีปัญหาต่างๆ เช่นแถบ NC นั้นค้างเวลามีการแจ้งเตือนเราไม่สามารถที่จะลากมันลงมาได้เพื่อดูรายละเอียดในกรณีที่เราดูไม่ทัน 

หรือบัคจากคีย์บอร์ทที่เวลาเราสลับจอหรือเอียงจอคีย์บอร์ทนั้นจะหายไป ซึ่งทั้งหมดตรงนี้เป็นปัญหามาจากที่ iOS8 ไม่ใช่ตัวเครื่อง ถ้าหากถามผมเรื่องหลักๆ เช่น

  • วัสดุ : ผมพอใจมากกับวัสดุที่ใช้การประกอบ และ หน้าจอที่มีความใหญ่ขึ้น และ การแสดงผลที่ชัดเจน ตรงส่วนตรงนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมาก และ พอใจมากกับการใช้งานจริงๆ ถ้าหากไม่มีปัญหาทั้งหมดจากบัคของ iOS8 ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมากนะครับ ลองคิดดูเราหวังว่าจะได้ใช้ iPhone จอใหญ่มาตลอด มาถึงตอนนี้ฝันที่เป็นจริงมาถึงแล้วครับ แม้ว่าจะมีข่าวต่างๆที่ออกมาพูดกันว่า เครื่องนั้นบอบบางมาก เช่นจับมาหักมางอ มันก็พังแล้ว ถามจริงๆ เครื่องมันอยู่ดีๆคุณไม่ได้ทำตก หรือไปดัดมัน มันจะพังมั้ยละครับ
  • กล้อง : เรื่องกล้องผมค่อนข้างจะซีเรียสพอสมควรเพราะผมไม่ชอบที่จะต้องพกอะไรหลายๆ อย่างออกจากบ้านและยัดใส่กระเป๋า ดังนั้นหากผมขับมอไซค์ แว๊นซ์ไปเทียวไหนแน่นอน ขอแค่มีกล้องดีๆใช้งานก็พอแล้ว กล้อง iPhone6 สำหรับผมทำออกมาได้ดีมากครับ จนระดับที่พอใจ และ คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ทั้งถ่ายภาพปกติและถ่ายVDO ครับ
  • แบตเตอรี่: ถามว่าแบตเตอรี่ 1840mAh เนี้ยนะพอใช้งานสำหรับการทำงานในหนึ่งวันมั้ย กราบเรียนตามตรง ในตอนที่ผมใช้ iPhone5S แค่ยังไม่ทันจะผ่านไปครึ่งวันแบตหมดจาก 100% เหลือแค่ 20% เศษๆ อันนี้จากการเปิด 3G ใช้งานทั้งวันนะครับ พอมาใช้เจ้า iPhone6 มา 4-5 วันจากการใช้งานผ่าน 3G ทั้งวันบอกตรงๆอึดกว่า 5S อยู่ในระดับที่พอสมควร และรับได้ นั้นคือใช้งานตั้งแต่เช้า 09.00 - 14.00 น. ก็ใช้งานมาตลอดฟังเพลงบาง เล่นเกมบาง และ เล่น Facebook บาง แบตเตอรี่ มันก็ยังเหลือ 35-40% ของในวันนั้นๆ ถามว่าส่วนตัวผมพอดีมั้ย ผมบอกเลยพอดีมากครับ ปลื้มมากกับแบตเตอรี่ใหม่แม้ว่าจะเพิ่มมาแค่นิดเดียวก็เถอะนะ

ยังมีอีกปัญหาที่ผมลืมเล่าไปสนิทเลย นั้นก็คือเครื่องนั้นหากมีการใช้งาน GPU หนักๆ ของ APP โหดๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเกม Full 3D หรืออะไรก็ต่างที่มีการประมวลผลหนักๆ เครื่องนั้นจะร้อนโดยจับได้แล้วรู้สึก ทันทีครับ ยิ่งหากเปิด 3G แทนการใช้งาน WIFI และเล่นเกมพวก 3D หนักๆ ยิ่งไม่ต้องห่วงครับ ร้อนชนิดที่ว่าจับแล้วรู้เลยว่ามันร้อนครับ

ทั้งหมดเป็นเพียงการวิจารณ์ และ ทดสอบใช้งานจากผมจริงๆนะครับ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเชื่อทั้งหมดที่ผมพิมา เพียงแต่ว่าคุณมีโอกาศได้ลองเล่นแล้ว ลองเปรียบเทียบความรู้สึกดู มันเป็นอะไรที่จะบอกว่าแปลกใหม่ก็ได้สำหรับ Apple เพราะหน้าจอใหญ่ครั้งแรก ความรู้สึกมันไม่เหมือนเล่น Android หน้าจอ 4.7 นะ มันคนละฟิวเลยบอกตรงๆว่าประทับใจมากครับ ใครมีคำถามตรงไหนคอมเม้นสอบถามได้ครับ เดียวมาตอบให้ครับ

เขียนบทความรีวิวโดย:  Dr.Bia

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook