การค้นพบหลักฐาน ยืนยันทฤษฎี"บิ๊กแบง"

การค้นพบหลักฐาน ยืนยันทฤษฎี"บิ๊กแบง"

การค้นพบหลักฐาน ยืนยันทฤษฎี"บิ๊กแบง"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อปี 1916 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามของโลก เคยทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตมนุษย์เราจะค้นพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเกิด "บิ๊กแบง" ที่หมายถึงการระเบิดครั้งใหญ่ที่จะก่อให้เกิดกระแสคลื่น "เริ่มแรก" ที่ส่งผลให้จักรวาลขยายตัวผ่านกาลและอวกาศ แล้วคลี่คลายขยายตัวมาเป็นอย่างที่เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

เกือบ 1 ศตวรรษให้หลัง สิ่งที่ไอน์สไตน์พูดถึงเอาไว้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ไม่เคยได้รับการยืนยัน และกลายเป็นคำทำนายอย่างเดียวของไอน์สไตน์ที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงช้าที่สุดในบรรดาการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของนักวิทยาศาสตร์เรืองนามรายนี้

ตราบจนกระทั่งทีมนักวิจัยด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนหนึ่งของศูนย์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียนเพื่อฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ประกาศการค้นพบหลักฐานเพื่อยืนยันทฤษฎีดังกล่าวโดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์พิเศษที่เรียกว่า "แบ๊กกราวด์ อิเมจจิ้ง ออฟ คอสมิค เอ็กซตรา กาแลคติค โพลาไรเซชั่น 2" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ไบเซ็ป 2" ที่ติดตั้งอยู่ในบริเวณขั้วโลกใต้

ตามทฤษฎี "บิ๊กแบง" ที่คาดกันว่าเกิดขึ้นเมื่อ 14,000 ล้านปีก่อน ระบุเอาไว้ว่าในชั่วเสี้ยววินาทีที่ว่านั้นจักรวาลขยายตัวออกไปด้วยความเร็วสูงสุดจนวัดได้ราว 100 ล้านล้านล้านล้านเท่าตัว ด้วยปรากฏการณ์ที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ตั้งชื่อไว้ว่า "คอสมิค อินเฟลชั่น"

"ไบเซ็ป 2" ไม่เพียงตรวจสอบพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสภาวะ "อินเฟลชั่น" ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจริงเท่านั้น ยังพบสิ่งบ่งชี้ด้วยว่ามันเกิดขึ้นมาจากอะไร

จอห์น โควัช หัวหน้าทีมนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของ "ไบเซ็ป 2" บอกว่า ในเสี้ยววินาทีของการเกิดบิ๊กแบง สิ่งที่เกิดขึ้นและผลักดันให้จักรวาลขยายตัวอย่างรวดเร็วคือ "คลื่นแรงโน้มถ่วงปฐมภูมิ" (ไพรมอร์เดีย กราวิเตชั่นแนล เวฟ) ซึ่งขยายตัวตามการขยายตัวของจักรวาลออกไปมหาศาลมากพอที่จะทิ้งร่องรอยเหลือไว้ให้เห็นได้จนกระทั่งถึงในเวลานี้

คลื่นแรงโน้มถ่วงปฐมภูมิดังกล่าวนี้สามารถมองเห็นได้เพราะมันไปก่อให้เกิดรูปแบบที่บิดเบือนไปจากเดิมของแสงอันสืบเนื่องจากการเกิดบิ๊กแบง นั่นคือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "โพลาไรเซชั่น" หรือการไปสร้างทิศทางการแกว่งตัวของแสงให้เป็นรูปแบบที่ชัดเจน การแกว่งตัวของแสงในปรากฏการณ์โพลาไรเซชั่นนี้มองไม่เห็นด้วยตา แต่สามารถเห็นได้เมื่ออาศัยแว่นกันแดดที่ผลิตจากแผ่นโพลารอยด์ที่ปิดบังคลื่นแสงอื่นๆ ไป ยกเว้นแสงที่เกิดโพลาไรเซชั่นเท่านั้น

ในการเคลื่อนที่ผ่านกาล (ไทม์) และอวกาศ (สเปซ) แสงที่เกิดจากบิ๊กแบงจะกลายเป็นคลื่นไมโครเวฟ คลื่นไมโครเวฟถูกค้นพบเมื่อปี 1964 และรู้จักกันในชื่อ ไมโครเวฟ แบ๊กกราวด์ เรดิเอชั่น ซึ่งคือสิ่งที่ "ไบเซ็ป 2" ถูกกำหนดให้ตรวจจับสภาวะโพลาไรเซชั่นของมันนั่นเอง

ทีม "ไบเซ็ป 2" ใช้เวลานานถึง 3 ปีในการตรวจวิเคราะห์รูปแบบโพลาไรเซชั่นที่ได้ ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลือมาให้เห็นจากการเกิดบิ๊กแบง เมื่อแน่ใจแล้วจึงประกาศการค้นพบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เพื่อการยอมรับว่าสิ่งที่พวกเขาตรวจพบนี้ถูกต้อง "ไบเซ็ป 2" จำเป็นต้องได้รับการยืนยันว่ามีผู้อื่นตรวจจับสภาวะเดียวกันนี้ได้เช่นกัน

ในราวต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำดาวเทียมขององค์การอวกาศแห่งยุโรปชื่อ "พลังค์" ที่ถูกกำหนดให้ตรวจวัดและมองหาสัญญาณเดียวกันนี้ เตรียมประกาศผลการค้นพบของตน หากได้ผลสอดคล้องกัน ก็เท่ากับเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่ "ไบเซ็ป 2" ค้นพบ

และจะกลายเป็นการพลิกโฉมหน้าวงการฟิสิกส์ดาราศาสตร์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook