ฮวน เอสตราด้า : นักมวยที่สอนว่า "ชนะครั้งเดียวไม่ทำให้ยิ่งใหญ่ แพ้ไม่ใช่สู้ไม่ได้"

ฮวน เอสตราด้า : นักมวยที่สอนว่า "ชนะครั้งเดียวไม่ทำให้ยิ่งใหญ่ แพ้ไม่ใช่สู้ไม่ได้"

ฮวน เอสตราด้า : นักมวยที่สอนว่า "ชนะครั้งเดียวไม่ทำให้ยิ่งใหญ่ แพ้ไม่ใช่สู้ไม่ได้"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับแฟนมวยชาวไทยนั้น หลายคนคงรู้จัก ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า ในฐานะนักชกที่ แพ้ และ ชนะ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ได้สำเร็จ เพราะทั้ง 2 ไฟต์นั้นคือไฟต์ประวัติศาสตร์ของวงการมวยสากลของไทย

โดยเฉพาะไฟต์แรกที่ "เจ้าแหลม" เป็นฝ่ายชนะนั้น เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ชัยชนะครั้งนั้นทำให้เรารู้จักอีกหลายแง่มุมเบื้องลึกเบื้องหลังของ ศรีสะเกษ ในฐานะนักสู้ทั้งบนสังเวียนและชีวิตจริง 

ทว่าในมุมของ เอสตราด้า ล่ะ ? ก่อนที่เขาจะขึ้นชกกับ ศรีสะเกษ ทั้ง 2 หน เขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง หลังจากความพ่ายแพ้เกิดอะไรขึ้น และอะไรนำไปสู่ชัยชนะในไฟต์แก้มือ จนคว้าเข็มขัดแชมป์โลกที่สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวไทย ... ติดตามได้ที่นี่

เม็กซิกัน สไตล์ 

หาก ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น คือยอดนักสู้จากแดนอีสาน ผู้ผ่านชีวิตที่ยากลำบากมามากมายก่อนจะกลายเป็นแชมป์โลกได้ ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า เองก็มีปูมหลังและเดิมพันชีวิตที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือความมุ่งมั่นและความใจสู้ที่มีตั้งแต่ยังเด็ก บ้านเกิดของเขาอยู่ที่ ปูเอร์โต ปีนาสโก (Puerto Penasco) อันเป็นเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเม็กซิโก ณ ปัจจุบัน (เริ่มต้นหลังยุค 2000s เป็นต้นมา) ติดชายแดนของสหรัฐอเมริกาบริเวณรัฐแอริโซน่า ทว่าในสมัยที่ ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า ยังเป็นเด็กอยู่นั้น นี่ไม่ใช่ที่ที่คึกคักและมีประชากรหนาแน่น แต่ที่แน่ ๆ หลายครอบครัวที่นี่มีฐานะยากจน 

Photo : Expreso

จะว่าไป เม็กซิโก ก็มีอะไรคล้าย ๆ กับประเทศไทยของเราหลายอย่าง ที่เหมือนอย่างมากที่สุด ก็คือการมีคนจนมากกว่าคนรวยในประเทศ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ หรือหากจะมองในเรื่องของกีฬา อย่างน้อย ๆ ก็เรื่องของมวยนี่แหละ ที่บ่งบอกชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี

หากคิดจะชกมวยเป็นอาชีพเลี้ยงปากท้องแล้วล่ะก็ นี่คือกีฬาทางเลือกของคนจนอย่างแท้จริง ที่เมืองไทยเราสามารถหาอ่านและดูประวัติของนักมวยไทยหลาย ๆ คน และพบว่าพวกเขาสู้แค่ตายกว่าจะใช้วิชาหมัดมวยแลกชื่อเสียงเงินทองมาได้ ซึ่งแน่นอน ที่ เม็กซิโก ก็ไม่ต่างกัน 

ณ เม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของพวกเขา  สะท้อนความปากกัดตีนถีบของผู้เลือกเส้นทางนักมวยได้อย่างดี โดยเฉพาะย่านเสื่อมโทรมอย่าง เตปิโต (Tepito) ที่เปิดทางเลือกให้เด็ก ๆ ที่เกิดในนั้นเพียง 2 ทาง ... จะต่อต้าน หรือ เข้าร่วม ในเส้นทางอาชญากรรมและยาเสพติด ซึ่งบางคนก็เด็กเกินไปกว่าจะทันได้คิด และเลือกคำตอบที่ผิดไปอย่างไม่ตั้งใจ

Photo : El Universal

"มีความรุนแรง โจรขโมย และอาชญากรรมในทุก ๆ วัน คุณพบเห็นความรุนแรงเหล่านี้ได้ทุกที่ คนจากย่านนี้ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเสมอ" ฮอร์เก เวรา (Jorge Vera) ครูฝึกมวยราบหนึ่งใน เตปิโต เล่าถึงชีวิตอันยากลำบากในแดนเสื่อมโทรมนี้

ไม่ต่างจากเมืองไทยนัก เวรา เล่าต่อว่ามวยคือเส้นทางลัดที่ดีที่สุด เท่าที่เด็ก ๆ ที่มาจากครอบครัวฐานะยากจนจะมี นี่คือกีฬาที่ยอดฮิตเพราะไม่ต้องพึ่งพาใคร ตัวคุณคนเดียวล้วน ๆ พลังหมัด สภาพจิตใจ แรงขับ และ ภาระเบื้องหลัง คือตัวผลักดันที่ทำให้นักมวยเม็กซิโกซ้อมหนักเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่หอมหวานที่สุด นั่นคือการได้เป็นแชมป์โลก ซึ่ง ณ ประเทศแห่งนี้มีนักมวยสากลระดับแชมป์โลกมากกว่า 250 คน ... มากกว่าทุกประเทศบนโลกใบนี้ 

"ทุกคนรู้จักเม็กซิโกจากการชกมวย นี่คือวัฒนธรรมของเชื้อชาตินักรบ อะไรทำให้เรารุดไปข้างหน้าเสมอ เพราะนักชกทุกคนมาจากครอบครัวที่ยากจน เราทำมันเพื่อครอบครัว พวกเราถึงต้องเป็นนักรบ พวกเราชาวเม็กซิโก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนักชกเม็กซิกัน ถึงได้สู้สุดกำลังบนสังเวียน" เวรา สรุปความบ้ามวยของชาวเม็กซิกันไว้อย่างครบถ้วน 

ตัดกลับมาที่ เอสตราด้า อีกครั้ง แม้บ้านเกิดของเขาจะไม่ใช่เม็กซิโก ซิตี้ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเด็กก็ไม่ได้หนีจากที่ เวรา เล่ามามากมายนัก เขาอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยว จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบแม่ก็เสียชีวิตเพราะโรคประจำตัว ก่อนจะถูกส่งไปอยู่กับป้าที่ช่วยเลี้ยงดูหลังแม่จากไป

Photo : HBO Boxing

แน่นอน ฐานะของป้าไม่ได้หนีจากบ้านของเขานัก แต่ป้าของเขาก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีเหมือนกับลูกในไส้ ตัวของ เอสตราด้า เองก็เรียกป้าของเขาว่า "แม่" และให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ทว่าความยากจนเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องออกห่างจากคนในครอบครัวอีกครั้ง ทว่ามันเกิดขึ้นตอนที่เขาอายุ 15 ปีเท่านั้น หากเทียบกับเด็กไทยก็เป็นเด็ก ม.3 ที่โดนส่งไปอยู่อีกเมืองที่ชื่อ เฮอร์โมซิลโล (Hermosillo) เหตุผลเดียวที่เขาออกจากบ้านคือ เขาถูกส่งไปฝึกให้เป็นนักมวยอาชีพ กีฬาที่เขาเริ่มฝึกมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ... เหมือนกับเด็กเม็กซิกันหลายคน เขาเลือกทางลัดที่มีรุ่นพี่ให้ตามรอยมากมาย แม้จะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ เอสตราด้า ณ เวลานั้นเริ่มไม่กลัวที่จะเจ็บตัวเพื่อแลกกับเงินแล้ว 

 

เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกอนาคตได้

"แม่ของผมจากไปตอนผมอายุ 7 ขวบ 7 ปีหลังจากนั้น พ่อของผมจากไปตอนผมอายุ 14 ผมจึงต้องอยู่กับป้า ป้าที่เป็นเหมือนกับแม่คนที่สองของผม แต่อีก 7 ปีต่อมา แม่คนที่ 2 ของผมก็จากไปตอนอายุ 21 ปี ... ก่อนป้าจะจากไป เราคุยแหย่กัน ป้าบอกว่าผมไม่มีวันจะได้เป็นแชมป์โลกหรอก ผมก็หยอกเธอกลับ 'ป้าก็คอยดูเถอะ เดี๋ยวจะเอาเข็มขัดแชมป์โลกมากระแทกตาป้าให้ดู'" เอสตราด้า เล่าเรื่องวัยเด็กในสารคดีของเขาที่ออนแอร์ผ่าน HBO  

การไปอยู่ซ้อมมวยของ เอสตราด้า ในวัยเด็ก มีเป้าหมายที่การเป็นนักชกอาชีพอย่างชัดเจน ฮีโร่ของเขาคือ ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ ตำนานนักชกเม็กซิกันผู้เคยเอาชนะมามากกว่า 100 ไฟต์ นอกจากเรื่องความเก่งกาจแล้ว เส้นทางนักสู้ชีวิตของ ชาเวซ ก็กลายเป็นหนึ่งในเหตุนั้นด้วย 

"ไม่ว่าเพราะโชคดีหรือโชคร้าย คนเม็กซิโกเป็นพวกเลือดร้อน และนักชกเม็กซิโกทุกคน ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน และเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของคุณ คุณยอมตายบนสังเวียน เพื่อเอาเงินไปจุนเจือครอบครัว" นี่คือสิ่งที่ ชาเวซ อธิบายถึงวิธีการชกของนักมวยชาวเม็กซิกันได้เป็นอย่างดี ซึ่ง เอสตราด้า ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย 

Photo : Fightnews.com

สไตล์ของ เอสตราด้า เป็นมวยไฟเตอร์เดินหน้าไม่กลัวใคร บุกเดินหน้าแบบไม่มีหมด หมัดของเขารวดเร็วและรุนแรงราวกับเป็นการสะท้อนตัวตนในอดีต เขาใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถเทิร์นโปรเป็นนักชกอาชีพได้ในวัยแค่ 18 ปี เท่านั้น เส้นทางการลืมตาอ้าปากที่เขายอมออกจากบ้านในตอนวัยรุ่นเริ่มขึ้นแล้ว

"ชีวิตมอบโอกาสที่ 2 ให้คุณเสมอ" นี่คือคติประจำใจของ เอสตราด้า ที่เขาเก็บเอาไว้บอกกับตัวเองเสมอ

เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีหลังเทิร์นโปร ก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยแชมป์ของรัฐและเริ่มมีชื่อเสียงในประเทศ ก่อนที่ในไฟต์ที่ 16 หลังจากชนะมา 15 ไฟต์รวด เขาจะคว้าเข็มขัดแชมป์เส้นแรกจาก มานูเอล เมนดาริซ ด้วยการน็อคในยกที่ 2 คว้าแชมป์ฮิสแปนิก (กลุ่มประเทศที่พูดภาษาสเปน) รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBC มาครองได้สำเร็จ ช่วงเวลาจากนั้นชื่อเสียงของเขาเริ่มกระจายไปไกล 

ในปี 2012 หรือ 4 ปีหลังจากเทิร์นโปร เขาก็ได้เจอกับไฟต์ที่หินที่สุดในชีวิต นั่นคือการเจอกับ โรมัน กอนซาเลซ นักชกแชมป์โลกรุ่น ไลท์ฟลายเวต จาก นิคารากัว และในไฟต์นั้น เอสตราด้า ที่เป็นฝ่ายลดน้ำหนักลงมาจากพิกัดธรรมชาติ เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปหลังครบ 12 ยก 

Photo : Sports India Show

แม้จะแพ้ไปก่อน แต่เขาเชื่อเสมอว่าโอกาสครั้งที่ 2 มีอยู่เสมอหากไม่ยอมแพ้ หลังจากแพ้ กอนซาเลซ ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 ในชีวิตนักชกอาชีพ เอสตราด้า ก็ไม่เคยแพ้ใครอีกเลย หนำซ้ำยังเป็นมวยแมสมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ไปชกในสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่ชี้วัดกันว่านักมวยคนนี้จะรุ่งหรือไม่บนเส้นทางนักชก เพราะหากชกมัน ชกเข้าตาคนดูจนเป็นขวัญใจ รับรองได้ว่าเส้นทางในสายนี้จะไปได้ไกลกว่าที่คิดอย่างแน่นอน  

ในปี 2017 เขาได้ชกในอเมริกาเป็นครั้งที่ 2 (ไฟต์แรกคือไฟต์ที่แพ้ โรมัน กอนซาเลซ นั่นเอง) หนนี้คือไฟต์กับ คาร์ลอส คูเอดราส นักชกบ้านเดียวกัน ในไฟต์นั้นหากใครชนะจะได้เป็นผู้ท้าชิงคนต่อไปของ ศรีสะเกศ นครหลวงโปรโมชั่น ผู้เพิ่งหักปากกาเซียน ด้วยการคว่ำ โรมัน กอนซาเลซ คว้าแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBC มาได้ เท่านั้นยังไม่พอ ศรีสะเกษ ยังย้ำแค้นให้หมดข้อสงสัยด้วยการน็อค กอนซาเลซ ในไฟต์รีแมตช์ป้องกันแชมป์โลก ซึ่งเป็นมวยคู่เอกของศึก Superfly ที่มีเอสตราด้าร่วมโปรแกรมชก ณ Stubhub Center เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2017 ด้วย

ศึกระหว่าง เอสตราด้า กับ คูเอดราส ในศึก Superfly ไม่ใช่ศึกสายเลือดของมวยเม็กซิกันเท่านั้น เพราะตัวของ คูเอดราส ถือเป็นนักชกระดับหัวแถวของมวยรุ่นเล็ก เขาเคยเอาชนะ ศรีสะเกษ และชิงเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตจาก ศรีสะเกษ มาได้แล้ว 1 ครั้งในปี 2014 

Photo : YouTube | EJ BOXING LIVE

นี่คือศึกที่ใครชนะจะได้เป็นผู้ท้าชิงเบอร์ 1 และหากใครแพ้จะต้องตกมาเป็นผู้ท้าชิงเบอร์ 3 (รองจาก โรมัน กอนซาเลซ) ซึ่งแม้ตามลำดับแล้วอาจจะห่างกันไม่มาก แต่มวยยุคปัจจุบันกว่าจะได้ชกกันสักไฟต์ต้องรอกันเป็นปี ๆ ดังนั้นสำหรับเบอร์ 3 ไม่รู้ต้องรอกันอีกนานแค่ไหนกว่าโอกาสของเขาจะมาถึง ดังนั้นนี่จึงเป็นไฟต์รถด่วนสำหรับ เอสตราด้า โดยเฉพาะ เพราะเขาไม่เคยคว้าแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตมาก่อน เคยแต่คว้าแชมป์โลกรุ่นฟลายเวตมาเท่านั้น 

ในไฟต์ชิงตั๋วทองคำ เอสตราด้า เสียเชิงให้กับ คูเอดราส ในยกแรก ๆ ทว่าเมื่อเข้าช่วงกลางและปลายของไฟต์ ลีลาการเดินหน้าและปล่อยหมัดจากรอบทิศทาง หลายรูปแบบทั้งซ้าย ขวา และ อัปเปอร์คัต ของ เอสตราด้า ก็เข้าตาจนทุกคนคิดว่าเขาชนะแน่ 

Photo : Boxing News

แต่ถึงกระนั้นยังมีเรื่องให้ลุ้นจนวินาทีสุดท้าย เพราะในช่วงประกาศคะแนน ไมเคิล บัฟเฟอร์ โฆษกเวทีดันประกาศชื่อของ คูเอดราส ว่าเป็นผู้ชนะเสียอย่างนั้น ในขณะที่แฟน ๆ กำลังโห่กันระงมเพราะพวกเขาถูกใจมวยมันพันธุ์ดุอย่าง เอสตราด้า มากกว่า แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการแก้ตัวว่ามีความผิดพลาดทางเทคนิค จึงทำให้มีการประกาศชื่อผู้ชนะผิด สุดท้ายกรรมการก็เปลี่ยนฝั่งและยกมือให้กับ เอสตราด้า เป็นผู้ชนะในไฟต์นั้นในท้ายที่สุด 

 

แพ้...แต่ไม่ได้หมายความว่าหมดหวัง

เอสตราด้า ได้ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตครั้งแรกในชีวิต แต่ก็อย่างที่เรารู้กันดีว่าผลการชกในไฟต์ดังกล่าว ศรีสะเกษ เป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า สามารถเอาชนะไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์หลังต่อยครบ 12 ยก ในศึก Superfly 2 ที่ The Forum เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2018

อย่างไรก็ตามในไฟต์นั้น เอสตราด้า ได้ฝากบางสิ่งบากอย่างไว้ราวกับเป็นข้อความว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเขา แต่วันต่อไปก็ไม่แน่ ... "พระเจ้ามีบททดสอบให้กับเราเสมอ" นี่คือประโยคที่ เอสตราด้า กล่าวเอาไว้ในสไตล์ของตัวเอง 

Photo : Boxing News

ณ วันนั้น ศรีสะเกษ อยู่ในช่วงอาชีพที่พีกที่สุด ทั้งความเร็ว ลีลาการชกที่หนักหน่วงแม่นยำ มีลูกเทคนิคไม่ธรรมดา อีกทั้งจะให้บู๊ก็ยังบู๊ล้างผลาญได้อีกด้วย ณ เวลานั้นนิตยสาร เดอะ ริง ถึงกับยกให้ ศรีสะเกษ เป็นท็อป 10 ของนักชกที่ดีที่สุดในโลกหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์อีกต่างหาก ด้วยดีกรีดังกล่าว ไม่แปลกที่ ศรีสะเกษ จะเป็นฝ่ายชนะ แต่ที่น่าสนใจคือฝั่ง เอสตราด้า ที่บู๊ล้างผลาญได้อย่างมันหยุดไม่กลัวศักดิ์ศรีแชมป์โลก 2 สมัย โดยเฉพาะในช่วงท้าย ๆ ของไฟต์ยาวไปจนถึงยกที่ 11 ที่เล่นเอา ศรีสะเกษ พลาดท่า จนมีหวังทำแต้มไล่กลับมาชนะได้เลยด้วยซ้ำ 

ทุกอย่างตัดสินกันในยกที่ 12 และในยกนั้น ศรีสะเกษ สามารถปิดเกมได้แบบสมราคาแชมป์ด้วยการบุกแลกแบบไม่กลัวพลาดท่า แม้จะได้เปรียบเรื่องคะแนน แต่ ศรีสะเกษ พร้อมเปิดหน้าแลกเดินขู่ เอสตราด้า ทั้ง 2 คนแลกหมัดกันนัวเนียชนิดที่ว่านับจำนวนหมัดกันแทบไม่ทัน ซึ่งการชกในยก 12 นั้นมันหยดจนได้รางวัล Round Of The Year ประจำปี 2018 เลยทีเดียว 

Photo : The Ring

การเป็นยกแห่งความทรงจำประจำปี ทำให้ทุกคนอยากจะเห็นการรีแมตช์ระหว่าง เอสตราด้า กับ ศรีสะเกษ อีกครั้ง ช่วงเวลาหลังจากนั้น 1 ปี ทั้งคู่ขึ้นชกคนละ 2 ไฟต์และชนะรวดกันทั้งหมด เอสตราด้า นับวันรอโอกาสที่ 2 ซึ่งเป็นเลขนำโชคของเขาตามคติประจำใจ การแพ้ไฟต์แรกไม่ได้แปลว่าเขาจะแพ้เสมอไป

"ผมกับศรีสะเกษก็รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว ในไฟต์นี้ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะได้เห็นการชกที่เข้มข้นตั้งแต่วินาทีแรกจนกระทั่งได้ผู้ชนะ" เอสตราด้า กล่าวกับเว็บไซต์ของ DAZN 

ในช่วงระหว่างรอรีแมตช์ชิงแชมป์โลก 1 ปีนั้น เอสตราด้า แสดงความมุ่งมั่นผ่านร่างกายและความฟิตของเขา ว่ากันว่าก่อนจะขึ้นชกกับ ศรีสะเกษ ครั้งที่ 2 เอสตราด้า อยู่ในสภาพความฟิตที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เขาเทิร์นโปรมา เนื้อตัว ร่างกาย และกล้ามเนื้อของเขาบ่งบองถึงการซ้อมมาอย่างหนักหน่วง ขณะที่ฝั่งของ ศรีสะเกษ นั้นดูจะสวนทางเรื่องความฟิตและเนื้อตัวอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีข่าวคราวนอกสังเวียนรบกวนสมาธิตลอด ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของ เอสตราด้า สำหรับการเถลิงแชมปโลกซูเปอร์ฟลายเวตครั้งแรกที่สุดแล้ว  

Photo : The Ring

ในไฟต์นั้นแม้จะมีการวิจารณ์กันว่า ศรีสะเกษ แพ้เพราะเปลี่ยนการ์ดมวย จากที่เคยเป็นมวยซ้ายอันเป็นสไตล์สร้างชื่อ กลับมาเป็นมวยขวาแทน ซึ่งความจริงแล้วมีเพียง 2 นักชกบนเวทีเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการรุกไล่ของ เอสตราด้า ที่ยิ่งเข้าสู่ช่วงปลายของไฟต์ ความฟิตของเขาก็ยิ่งทำให้เห็นความห่างมากขึ้น การปล่อยหมัดชุดที่เป็นจุดเด่นทำได้เร็วและแม่นยำกว่าไฟต์แรกอย่างเห็นได้ชัด  นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำว่า เอสตราด้า เตรียมตัวมารีแมตช์มาดีกว่า สมกับการเป็นนักชกที่เชื่อในโอกาสครั้งที่ 2 ของชีวิตเสมอ 

การชกจบลงด้วยชัยชนะและการกระชากเข็มขัดแชมป์โลกของ เอสตราด้า ได้สำเร็จ โดยเป็นการชนะคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ (116-112, 115-113, 115-113) ... 2 ยังคงเป็นตัวเลขนำโชคและภาพสะท้อนว่า เขาเป็นคนที่เรียนรู้จากความพ่ายแพ้และผิดหวังได้ดีขนาดไหน 

 

สู้กันใหม่ไปกันต่อ

ณ ปี 2020 สถานการณ์ COVID-19 เบรกการแข่งขันชกมวยชิงแชมป์โลกไปแบบไม่มีกำหนด และตัวของ เอสตราด้า เองก็ติดเชื้อดังกล่าวด้วยอีกต่างหาก ทว่าเขาสามารถรักษาตัวเองจนหายดีเป็นปกติได้สำเร็จแล้ว 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือ เอสตราด้า จะก้าวข้ามการเป็นผู้ท้าชิงและเปิดประสบการณ์ใหม่ในฐานะแชมป์ที่ต้องเป็นฝ่ายป้องกันบ้าง แม้เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 เจ้าตัวจะขึ้นป้องกันเข็มขัดครั้งแรก ชนะ ดีเวย์น บีมอน แบบไม่ครบยก แต่เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว เขาจะเป็นเป้าหมายที่นักชกทุกคนในรุ่นหวังจะพิชิตเสมอ ... แต่ถึงอย่างงั้น เขายังเปิดใจว่า ณ นาทีนี้เขาไม่เคยคิดจะเลี่ยงแมตช์กับใครก็ตาม โดยเฉพาะกับ ศรีสะเกษ ที่รอไฟต์แก้มืออยู่นั้น เอสตราด้า ก็นับวันรอจะได้เจออีกด้วย 

Photo : Fight News Asia

เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความแค้นหรือเรื่องส่วนตัว เอสตราด้า นั้นมองไปถึงขั้นการเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการมวยตามรอย ฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ หรือ คาเนโล่ อัลวาเรซ 2 นักชกแชมป์โลกชาวเม็กซิกัน และการจะทำอย่างนั้นได้ เขาต้องการปราบให้หมดรุ่นเพื่อชัยชนะอย่างเป็นเอกฉันท์จนไม่มีใครติติงได้

"ผมคิดว่าเราน่าจะได้เจอกันอีกสักที (กับ ศรีสะเกษ) ผมอยากจะเป็นคนชนะอีกครั้ง ผมอยากจะป้องกันแชมป์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอาจจะรวมถึงการเอาเข็มขัดเส้นอื่นด้วย ... เราทุกคนต่างก็ต้องการอยากเป็นยอดนักชกที่ดีที่สุดในโลก และตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าผมจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้" 

Photo : Sky

แม้สถานการณ์มวยโลก ณ ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรชัดเจน แต่ เอสตราด้า ก็ได้ทำในสิ่งที่เขาฝันไว้หลาย ๆ อย่างให้จนสำเร็จ ตอนนี้เขามีชื่อเสียง เงินทอง และแพชชั่นที่ไม่มีวันหมดไปง่าย ๆ อีกทั้งเขายังได้นำเข็มขัดแชมป์โลกไปคารวะหน้าหลุมศพป้าของเขาเป็นที่เรียบร้อย ... เป้าหมายเก่า ๆ สามารถปลดล็อกได้สำเร็จ และหลังจากนี้เส้นทางของ ฮวน ฟราซิสโก้ เอสตราด้า จะมุ่งไปสู่ทางเส้นใหม่ที่เขาไม่เคยไป

การป้องกันแชมป์ การขยับรุ่นน้ำหนัก การสั่งสมชื่อเสียงจนถูกเรียกว่านักชกที่ดีที่สุดในโลกหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามที่รอให้เขาได้พิสูจน์กันต่อไป ... 

การจะไปถึงตำแหน่งเบอร์ 1 ของโลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าหากเขายังมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในแนวคิดเดิมนั่นคือ "ชนะครั้งเดียวไม่ทำให้ยิ่งใหญ่ แพ้ครั้งเดียวไม่ได้แปลว่าสู้ไม่ได้" และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ... ไม่แน่เขาอาจจะได้ปลดล็อคฝันครั้งใหม่ก็เป็นได้   

อัลบั้มภาพ 34 ภาพ

อัลบั้มภาพ 34 ภาพ ของ ฮวน เอสตราด้า : นักมวยที่สอนว่า "ชนะครั้งเดียวไม่ทำให้ยิ่งใหญ่ แพ้ไม่ใช่สู้ไม่ได้"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook