"เต้ย วุฒิพงษ์" ลูกบุญธรรม "ศิริพร" เปิดใจในวันที่แม่เจอดราม่า อยากให้ครอบครัวเหมือนเดิม
ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรกสำหรับ เต้ย-วุฒิพงษ์ คูณอาษา ลูกชายบุญธรรมของศิลปินลูกทุ่งรุ่นใหญ่ ศิริพร อำไพพงษ์ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีประเด็นดราม่าภายในครอบครัว จนกลายเป็นข่าวฉาวสะเทือนวงการที่ใครหลายคนให้ความสนใจ
ซึ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ของ เต้ย วุฒิพงษ์ กับทีมข่าวบันเทิง Sanook! News ในครั้งนี้ เจ้าตัวได้เผยถึงสภาพจิตใจล่าสุดของคุณแม่ศิริพรให้เราฟังว่า ตอนนี้หลายๆ อย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งคุณแม่เองก็เพิ่งจะถูกรางวัลล็อตเตอรี่เลขท้าย 2 ตัว จำนวน 100 ใบ จึงทำให้ค่อนข้างแฮปปี้เป็นพิเศษ
ส่วนทางด้านสถานะการณ์ภายในบ้านที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ จะมีบทสรุปไปทิศทางไหนตนคงไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะในฐานะที่เป็นทั้งลูกและเป็นคนกลาง ก็อยากให้กำลังใจทั้งสองฝ่ายมากกว่า เนื่องจากว่าตนก็อยากจะเห็นภาพครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้งเช่นกัน
สภาพจิตใจคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง ?
"ล่าสุดที่โทรไปหาคุณแม่ ท่านก็บอกว่าโอเคขึ้นแล้ว ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้คุณแม่ก็นับหนึ่งใหม่ แล้วตอนนี้ล่าสุดถูกล็อตเตอรี่ 100 ใบ ดูแฮปปี้ขึ้นเยอะเลยครับ 2 ตัวท้าย 86"
แม่บอกไหมว่าได้เลขมาจากไหน ?
"คือคุณแม่จะมีตัวเลขมาเยอะมาก ผมไม่เคยถูกเลย ผมซื้อตาม ผมตามไม่ทัน ทุกอย่างมันเป็นดวงของแต่ละคนครับ ตอนนี้คือด้วยความที่คุณแม่เขาเป็นคนจิตใจดี พอเจอเรื่องอะไรร้ายๆ มา ผมว่าท่านผ่านไปได้ด้วยตัวเอง ล่าสุดที่โทรคุยกันท่านก็บอกว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้แม่สบายดี อยู่ที่อุดรครับ"
ตอนที่มีข่าวออกมาว่าลูกบุญธรรมของคุณแม่แอบมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคุณพ่อ เราตกใจขนาดไหน ?
"ส่วนตัวของผมเองก็ตกใจนะ ไม่คิดว่าจะมีข่าวมาในทางด้านนี้ ก็วันนั้นผมอยู่ต่างจังหวัด ผมกลับบ้าน ก็รู้ข่าวพร้อมๆ กับทุกคนเลยครับ"
เราสนิทกับลูกบุญธรรมที่เป็นข่าวขนาดไหน ?
"ก็รู้จักครับ พี่เขาเป็นลูกบุญธรรมก่อนเรา แต่ตัวผมเองจะไม่ได้ใช้ชีวิตกับที่บ้านคุณแม่ครับ ผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ก็ไปเจอบ้างตามงานบุญ เจอกันที่บ้านครับ แต่ไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านด้วย"
เรารู้จักทั้งลูกบุญธรรมคนนั้น รวมถึงคุณพ่อด้วยใช่ไหม ?
"รู้จักครับ เราก็เรียกพ่อด้วย"
ตั้งแต่เป็นข่าวได้คุยกับลูกบุญธรรมคนนั้นหรือกับพ่อบ้างไหม ?
"ผมก็คุยด้วยปกติ เพราะว่าทางคุณพ่อเราก็เคารพนับถือ ทางคุณแม่เราก็เคารพนับถือเหมือนกัน เราก็คุยด้วยตามปกติ แต่ในพาร์ทของเรื่องส่วนตัว เราไม่ไปก้าวก่าย เราจะไม่เข้าไปสอบถามรายละเอียดว่าเป็นยังไง เราก็ให้กำลังใจทั้งสองฝ่ายครับ"
เรายอมรับว่าเราก็ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม ?
"ไม่คิดว่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นครับ ไม่คิดว่าจะมีข่าวแบบนี้ ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเป็นมาแบบนี้ครับ ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันครับ"
เราตามหาความจริงไหมว่าเรื่องราวมันเป็นตามข่าวไหม ?
"ส่วนตัวผมเองไม่ได้ถามเลยนะ ขนาดโทรคุยกับแม่ครั้งล่าสุด ก็ไม่ได้ถามว่าความจริงเป็นยังไง รายละเอียดเป็นยังไงอะไรแบบนี้ครับ เราก็แค่ให้กำลังใจครับ เพราะว่าบางครั้งในพาร์ทของเรื่องส่วนตัว เราไม่สามารถที่จะไปสรุปได้ ว่าใครผิดใครถูกครับ เราก็ให้กำลังใจดีกว่า"
แล้วได้โทรไปให้กำลังใจฝั่งคุณพ่อไหม ?
"ก็เหมือนกันครับ ก็ให้กำลังใจ เพราะเราก็เคารพทั้งสองคนนะครับ กับคุณพ่อก็เจอกัน ก็พูดคุยกันปกติ"
เรายืนยันว่า ณ วันนี้เราก็ยังเคารพสามีของแม่นาง เป็นพ่อเหมือนเดิม และก็เคารพแม่นางในฐานะแม่เหมือนเดิม ?
"ใช่ครับ ไม่ได้มีแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายอยู่แล้ว เพราะว่าตัวผมเองต้องท้าวความก่อนว่า ผมมารู้จักกับแม่นางศิริพรได้ด้วยการทำบุญ เสร็จแล้วด้วยความที่เราเป็นคนต่างจังหวัด ผมมาอยู่กรุงเทพคนเดียว แล้วมีโอกาสไปเจอแม่ในงานบุญ เหมือนกับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่ให้คำปรึกษาผมได้ แล้วคุยกันแบบบ้านๆ เหมือนเราเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกัน เขาจะรู้ว่าแม้กระทั่งภาษา การพูด การกินอยู่ มุมมองการใช้ชีวิตมันคล้ายกัน เรามีความรู้สึกว่าเราอยู่กับเขาแล้วเหมือนเราได้อยู่กับแม่ เราได้รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่บ้าน แล้วคุณแม่เขาก็จะสอนผมตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน พอมีโอกาสเราก็เตรียมพาน เตรียมพวงมาลัย ไปขอท่านเป็นลูกบุญธรรมครับ วันนั้นคุณพ่อก็อยู่"
ในพาร์ทของความเป็นแม่บุญธรรม แม่เขาดูแลเราอย่างไรบ้าง ?
"เป็นการสั่งสอนมากกว่าครับ เรียกว่าเป็นแม่บุญธรรมหรือแม่ครูก็ได้ครับ ท่านจะสั่งสอนผมหลายๆ อย่าง ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิต การทำบุญ การปฎิบัติตัวในการทำงาน การอยู่ในสังคมส่วนรวม"
นอกจากเราและคนที่เป็นข่าว ยังมีลูกบุญธรรมคนอื่นๆ อีกไหม มีอีกกี่คนที่แม่นางดูแลอยู่ ?
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครบ้าง แต่ก็หลายคนที่เรียกแม่นางว่าแม่ เพราะว่าด้วยความที่เขาเป็นคนที่เมตตา แต่ถ้าโดนส่วนตัวผมเอง ผมก็อยู่ในพาร์ทของการไปเจอกันที่บ้านบ้าง แล้วก็ไปทำบุญด้วยกัน งานบุญจะเจอกันตลอด"
ในเรื่องการซัพพอร์ตเรื่องเงิน แม่นางมีช่วยเหลือไหม ?
"ของผมไม่มีครับ แค่ให้คำแนะนำ ผมก็ทำงานปกติครับ ไปแคสติ้งโฆษณา เอ็มวี อีเวนต์ ผมก็รับงานในส่วนของผม ดูแลตัวเอง"
เรื่องเรียนต่างๆ แม่นางมีช่วยไหม ?
"ไม่มีครับ ไม่มีการซัพพอร์ตเรื่องเงิน"
ย้อนกลับไปวันที่เป็นข่าว พอเราทราบ เราได้โทรไปหาแม่นางเลยไหม น้ำเสียงแม่นางตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?
"ผมจะบอกว่าตอนที่เป็นข่าวหนักๆ เลย ผมไม่ได้โทร เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าเขาน่าจะได้รับสายจากหลายๆทาง แล้วด้วยสภาวะจิตใจอะไรหลายๆมอย่าง ผมรอจนช่วงข่าวซาๆ แล้ว ผมถึงค่อยโทรไป"
น้ำเสียงของแม่เป็นยังไงบ้างในวันที่เราโทรไปให้กำลังใจ ?
"ผมสัมผัสได้ว่าเขาดีขึ้น เริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จริงๆ ผมตามข่าวนะครับ ซึ่งด้วยน้ำเสียงและอะไรต่างๆ ผมค่อนข้างรู้สึกได้ว่าช่วงนั้นแม่น่าจะเครียด ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไร ผมอยากรอให้ทุกอย่างโอเคก่อน ซึ่งครั้งล่าสุดที่ผมโทรไปหาแม่ แม่เขาก็ดูโอเคขึ้นนะ ดูแฮปปี้มากขึ้น ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว"
แสดงว่าตอนนี้คุณแม่โอเคกับทุกสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ?
"เอ่อ...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวแม่เองจะโอเคหรือแฮปปี้ 100 เปอร์เซ็นต์ไหม แต่วันที่ผมโทรไปหาแม่ แม่ก็บอกผมว่า แม่โอเค เรื่องมันผ่านไปแล้ว"
เราตั้งใจจะไปเจอแม่อีกเมื่อไหร่ ?
"มีครับ แต่โดยส่วนมากผมกับแม่เราจะเจอกันตอนไปทำบุญมากกว่า แต่ผมคิดว่าถ้าหากมีโอกาสได้ไปที่อุดรก็คงจะได้ไปเจอกันครับ"
เราสามารถระบุได้ไหมว่าสถานะครอบครัวตอนนี้ มันยังเป็นครอบครัวอยู่ไหม ?
"ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะผมก็อยู่ข้างนอก และผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ภายในบ้าน หรือว่าในอนาคตเขาจะสามารถกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้ไหม แต่ถ้าจะให้ตอบในมุมมองของผม ผมก็ยังเคารพเหมือนเดิมครับ"
ตัวเราเองอึดอัดไหมกับสถานะคนกลาง ?
"ผมอยากให้เขากลับมาคืนดีกันครับ เพราะในบรรยากาศของการเป็นครอบครัวมันมีความสุขนะครับ ช่วงที่ผ่านมามีคนโทรมาถามผมเยอะมาก ซึ่งผมก็ไม่สามารถให้คำตอบทุกคนได้จริงๆ ว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไรหรือใครถูกใครผิด ผมตอบได้แค่ว่าผมให้กำลังใจทั้งสองฝ่าย เพราะผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก"
ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่เขาก็ถึงขั้นแบ่งสมบัติกันแล้ว ?
"ใช่ครับ ก็คือบ้านของคุณแม่ที่กรุงเทพฯ เขาจะมี 2 หลังที่อยู่ติดกัน ซึ่งผมพอทราบรายละเอียดมาว่าเขาจะแบ่งกันคนละหลัง เอ่อ...ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย! ความจริงมันเป็นบ้านหลังเดียวกันนะ ก็แอบใจหายครับ เพราะผมเองก็เคยไปบ้านทั้งสองหลัง แต่ตอนนี้คุณพ่อเป็นคนที่ซื้อบ้านหลังในส่วนที่เป็นของคุณแม่ไปแล้ว"
ได้ถามแม่ไหมเรื่องที่แม่บอกว่าอยากจะเลิกร้องเพลงและไปใช้ชีวิตในเมืองนอก ?
"เคยคุยกันครับ แต่ก็เอ่อ...ความจริงผมก็เคยได้ยินมาบ้างนะครับว่าคุณแม่อยากเลิกร้องเพลง ซึ่งผมก็ไม่ได้ถามแม่หรอกนะครับว่า แม่จะไปจริงหรือเปล่าหรือแม่แค่พูดเล่น เพราะผมก็ไม่ได้อยากให้แม่ไปไหน ผมอยากให้แม่อยู่ใกล้ๆ อยู่กับครอบครัว อยู่กับแฟนเพลง อยู่กับวัดวาอารมที่แม่ได้สร้างไว้ อยากให้แม่อยู่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทุกคน"
เรากับพี่คนที่ตกเป็นข่าว สนิทสนมกันหรือเปล่า ?
"ก็สนิท ก็รู้จักกันครับ"
พอมีข่าวออกมาเราได้คุยกับพี่เขาบ้างหรือเปล่า ?
"ได้คุยครับ มีโอกาสได้เจอกันตามงาน"
เราได้ถามเขาไหมว่าข่าวที่เกิดขึ้นมันจริงไหมหรือมันอะไรยังไง ?
"คือผมเป็นคนไม่ค่อยถามมากกว่า ผมไม่ได้ถามเขาเลยว่าเป็นยังไงบ้างพี่หรือความจริงมันเป็นยังไง ผมไม่ได้ถามอะไรแบบนั้นเลย ตอนที่ผมเจอกับพี่เขา ผมก็แค่ถามไถ่เขาเฉยๆ ว่า เขาโอเคหรือเปล่า เป็นยังไงบ้าง มันคือการให้กำลังใจกัน เรายังมองหน้ากันติดครับ"
ตัวเราเองมีคำถามอยู่ในใจไหมที่ไม่กล้า ?
"โดยตัวผมเอง ผมก็แค่เป็นคนที่รับรู้ข่าวสารจากภายนอก แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไประบุหรอกว่า ใครผิดหรือใครถูก เรื่องจริงมันเป็นยังไง เพราะมันคือเรื่องส่วนตัวของเขา คือต่อให้มันเป็นเรื่องจริง แต่ด้วยสถานะที่ผมเป็นน้องเป็นลูกบุญธรรม ผมก็ควรให้เกียรติทุกคนไม่ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง"
อัลบั้มภาพ 26 ภาพ