7 สิ่งมหัศจรรย์ที่พึงมี ในการเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์

7 สิ่งมหัศจรรย์ที่พึงมี ในการเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์

7 สิ่งมหัศจรรย์ที่พึงมี ในการเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คงจะมีบางช่วงขณะที่คุณรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมันว่างเปล่าเกินไป โดยที่ตัวคุณเองก็อาจจะบอกไม่ได้หรอกว่าชีวิตกำลังขาดอะไรไปหรือคุณกำลังโหยหาอะไร คุณแค่รู้สึกว่ามันมีช่องว่างขนาดใหญ่จนคุณรู้สึกได้ คุณจึงสัมผัสได้ถึงความไม่สมบูรณ์ สับสน หลงทาง และทำให้คุณมีความสุขได้ไม่สุด

ในขณะที่คุณรู้สึกว่าชีวิตที่ของตัวเองกำลังขาดอะไรบางอย่าง คุณจะเติมเต็มมันได้อย่างไร เป็นคำถามที่หลายคนยังคงหาคำตอบให้วุ่น ปัญหาคือคุณไม่รู้ว่าสิ่งที่หายไปคืออะไร คุณจึงไม่รู้ว่าต้องหาอะไรและต้องเริ่มต้นหาจากที่ไหน ดังนั้น ขอให้ตั้งสติก่อน กลับไปเริ่มที่จุดเริ่มต้น ตั้งแต่ตอบให้ได้ว่า “คุณเป็นใคร?” ก่อนที่คุณจะเดินหลงทางไปมากกว่านี้ ซึ่งดีไม่ดีจุดหมายปลายทางที่คุณกำลังมุ่งหน้าไปหานั้นก็อาจจะไม่ใช่ทางที่ถูก “สำหรับคุณ” ด้วยก็ได้

ฉะนั้น ลองดูว่าเวลานี้คุณมี 7 สิ่งนี้ในชีวิตแล้วหรือยัง ถ้ายังให้เริ่มต้นจากจุดนี้ก่อน มันจะช่วยให้คุณค้นพบทิศทางใหม่ และเติมเต็มส่วนที่คุณรู้สึกขาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

1. รู้จักและเข้าใจตัวเอง
เริ่มต้นที่การตระหนักรู้ถึงตัวตนของตัวเอง เอาเข้าจริงนี่อาจเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ การมองตนเองอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณเป็นใครและยืนอยู่ตรงไหน ไม่อคติ ไม่หลอกตัวเอง ไม่ด้อยค่าหรือโอ้อวด ฟังดูอาจเหมือนเรื่องตลก แต่โลกนี้มีคนจำนวนมากที่อยู่กับตัวเองทุกวันแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร นอกจากข้อมูลทางกายภาพพื้นฐานแล้ว ก็ตอบอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองไม่ได้อีกเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำว่า “ค้นหาตัวเอง” และ “ค้นพบตัวเอง” หรอก ลองถอยออกมามองตัวเองด้วยสายตาของคนอื่น ใช้ชีวิตให้ช้าลงจะช่วยได้ การรู้จักและเข้าใจตัวเองจะทำให้คุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร จะได้หาสิ่งที่ตอบสนองตัวเองได้อย่างตอบโจทย์และเหมาะสม

2. ความรักให้ตัวเอง
ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีรักคนอื่น ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน การรักตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการสร้างคุณค่าและมีความสุขกับตัวเอง เมื่อรักตัวเองเป็น คุณก็จะรักคนอื่นได้ดีขึ้น เพราะรู้วิธีที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขโดยที่ตัวเองไม่ทุกข์ การเริ่มรักตัวเองนั้นเป็นอะไรที่ง่ายมาก ๆ เพียงแค่กลับมาเอาใจใส่ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของตัวเองให้ดี ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ใช้เวลาทำสิ่งที่ทำตัวเองรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีความสุข มอบสิ่งดี ๆ ให้ตัวเอง และออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านบ้าง อย่าอุดอู้อยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่อาจสร้างความรู้สึกหดหู่ โดดเดี่ยวกว่าเดิม แม้ว่าการออกไปข้างนอกเราจะเดินคนเดียวก็จริง แต่ก็ยังได้พบเจอกับคนอื่น ๆ บ้าง

3. ความคิดในด้านบวก
“ความคิด ความรู้สึก และความเชื่อ” ล้วนส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ จิตใต้สำนึกของคุณคิดแบบไหน มันก็สะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมของคุณเอง ดังนั้น ความคิดมีอิทธิพลในการขับเคลื่อนชีวิตมากกว่าที่คิด อยากให้ชีวิตไปในทิศทางที่ดี ก็ต้องคิดบวกไว้เสมอ พยายามมองโลกตามความเป็นจริงแต่ค่อนไปในแง่ดีเพื่อเพิ่มพลังบวกเป็นประจำ ซึ่งคนละเรื่องกับโลกสวย เมื่อคุณพยายามปรับทัศนคติให้มองโลกในมุมบวกมากขึ้น คุณจะพบว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนเพราะเลนส์ที่คุณใช้มอง ไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวมันเอง เปลี่ยนโลกมันยากก็เริ่มที่ตัวเอง

4. สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
ขึ้นชื่อว่า “ชีวิต” แล้ว มันไม่มีทางที่จะราบรื่นและสวยงามไปได้ทุกวันหรอก มันมักจะมีอุปสรรคน้อยใหญ่เข้ามาเป็นบททดสอบชีวิตอยู่เสมอ เพื่อท้าทายและพิสูจน์ความแกร่งที่เรามี ในขณะที่คุณกำลังตามหาชีวิตในด้านบวก ก็ต้องเข้าใจว่าด้านลบเป็นของคู่กัน เหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้บ้างเป็นความคิดที่ดี สิ่งนี้จะช่วยเยียวยาจิตใจที่หวั่นไหวไม่มั่นคงของเราได้ ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าสภาพจิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวายต้องการกำลังใจ ทำให้เราผ่านช่วงเวลาแย่ ๆ ไปได้

5. พลังใจในการฟื้นตัว
ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยปราศจากความล้มเหลวไปอย่างสิ้นเชิง จริง ๆ แล้วเหมือนมันจะเป็นของคู่กันเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี เมื่อล้มเหลวก็ไม่ได้แปลว่าต้องล้มหายไปเลย ล้มแล้วลุกไม่ได้ โอกาสที่จะลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งมันก็มีอยู่ แต่การจะลุกขึ้นกลับมาต้องใช้ความแข็งแกร่งและความทุ่มเทที่มากขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีพลังใจที่แข็งแกร่งในการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ข้อเท็จจริงคือไม่มีใครยิ้มออกหรอกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ความล้มเหลว เสียศูนย์จนไม่มีแรงกายจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ “หัวใจ” จึงสำคัญมากในการพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาใหม่

6. เวลาว่าง
ดูเหมือนว่าหลาย ๆ คนมักจะเสพติดการเป็นคนที่ชีวิตดูยุ่ง ดูไม่ว่าง ไม่มีเวลาอยู่ตลอดเวลา ประการแรกคือมันทำให้เราดูเป็นคนที่มีอะไรทำ ดูมีแก่นสาร ไม่ได้เลื่อนลอยไป ๆ มา ๆ แบบคนว่างจัด ประการต่อมาคือใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธในสิ่งที่ไม่อยากทำได้ดีมาตลอด นั่นก็เท่ากับว่าคุณกำลังปฏิเสธที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่ดีต่อใจตัวเองด้วย การอ้างติดปากว่าไม่มีเวลา ทำให้คุณคิดว่าคุณไม่ว่างอยู่ตลอดเวลาจริง ๆ ทั้งที่เวลานั้นไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้น รู้จักเว้นที่ว่างให้กับชีวิตตัวเองบ้าง หาเวลาว่างเป็นของตนเอง แล้วลงมือทำในสิ่งที่ต้องการซะเดี๋ยวนี้เลย

7. ความปรารถนาที่จะเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน
ข้อนี้สำคัญมาก เพราะมันคือการวางแผนอนาคตถึง “วันพรุ่งนี้” โดยที่คุณเองก็มีเป้าหมายแล้วว่าอยากจะเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นกว่าเดิมในทุก ๆ เช้าที่ลืมตาตื่น เป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวานและดีกว่าวันนี้ ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่าคุณเป็นคนที่ควบคุมชีวิตตนเอง ดังนั้น คุณคือคนที่ตัดสินใจว่าต้องการจะใช้ชีวิตอย่างไร ทำในสิ่งที่อยากทำโดยไม่เดือดร้อนคนอื่น ทำในสิ่งที่เห็นว่าดี ใช้ชีวิตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แล้วความหลงใหลในสิ่งต่าง ๆ จะตามมาเอง คุณจะเติบโตขึ้นในทุกวัน กระทั่งได้เห็นตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook