“บอย ปกรณ์” ที่ไม่ “บอย” อีกต่อไป

“บอย ปกรณ์” ที่ไม่ “บอย” อีกต่อไป

“บอย ปกรณ์” ที่ไม่ “บอย” อีกต่อไป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พระเอกเจ้าของฉายา “เกรียนตัวพ่อ” บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เข้าวงการมาในบทพระเอกหนัง “ฝัน หวาน อาย จูบ” จากนั้นเส้นทางของเขาโลดแล่นมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันเขาคือหนึ่งในพระเอกเบอร์ต้นประจำช่อง 3 หากแต่เวลาที่ผ่านมาไม่ได้นำพางาน เงิน ชื่อเสียงมาให้เขาเท่านั้น แต่วันเวลายังทำให้เขาเติบโตขึ้น จะด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา หรือมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป

Sanook! Men พูดคุยกับบอย ปกรณ์ในวัยเลย 30 ที่เป็นคนเดียวกับอดีตหนุ่มคลีโอปี 2008 พระเอกจอมเกรียนในวงการบันเทิง พี่ชายคนโตของครอบครัวฉัตรบริรักษ์ และผู้ชายที่ภายนอกเห็นเขาสนุกสนาน เฮฮา แต่เขากลับบอกว่าตัวเองจริงจังและเซนซิทีฟ “บอย” คนนี้จึงอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ “เด็กผู้ชาย” (ความหมายตามดิกชันนารี) เช่นในอดีตอีกต่อไป

ตอนนี้คุณอายุ 32 สำหรับคุณคิดว่าตัวเองเติบโตหรือยัง
ก็ยังไม่ค่อยเท่าไร อาจจะโตในแง่ของการที่เรามีหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบมากขึ้น ถ้าเทียบก็เป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว คือมีสิ่งที่ต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องคอยดูแลอะไรหลายอย่าง ที่ผมบอกว่ายังไม่โตมากอาจจะเป็นเรื่องความคิด ความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ค่อยโต ในเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เราก็ยังมีความสนุกสนานเหมือนเดิม ยังติ๊งต๊อง เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงหรือเวลาทำงานกับทีมงาน ก็ยังสนุกสนาน เฮฮา ยังชอบที่จะเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม แต่ว่า โอเค อาจจะลดดีกรีลงบ้าง ตามอายุที่เพิ่มขึ้น

บางคนบอกว่า ชีวิตผู้ชายเริ่มต้นตอนอายุ 40 ปี สำหรับคุณคิดว่าเป็นแบบนั้นไหม
ไม่ครับ สำหรับผม 40 มันเป็นช่วงที่อาจจะช้าเกินไป ผมว่าคนเราเริ่มต้นชีวิตจริง ๆ ตั้งแต่การทำงาน เพราะว่ามันถึงวัยที่เราต้องดูแลตัวเอง ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็ต้องเลี้ยงชีพด้วยตัวเองได้แล้ว ต่อให้คุณอยู่กับพ่อแม่หรือครอบครัวก็ตาม แต่มันต้องถึงวัยที่เลิกแบมือขอเงินได้แล้ว บางคนเลิกแบมือขอเงินตั้งแต่มหาลัยแล้ว ทำงานเอง ส่งตัวเองเรียน ใช้ชีวิตเอง ถ้ามองทั่วไป ผมมองว่า เริ่มตั้งแต่ชีวิตการทำงานแล้วนะ พอเรียนจบ เริ่มทำงาน เราก็ต้องหยุดขอเงินพ่อแม่แล้ว อยากจะใช้ซื้ออะไรต้องทำงาน ซื้อด้วยตัวเอง รู้จักคุมงบด้วยตัวเอง รู้จักวางแผนชีวิตด้วยตัวเอง ในวัยทำงานมันถึงวัยที่ถ้าเกิดปัญหา เราต้องเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน แต่ก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่เป็นที่ปรึกษา

แล้วสำหรับคุณ เริ่มต้นตั้งแต่อายุเท่าไร
ผมเรียนจบตั้งแต่อายุ 23 - 24 ปี ก็เริ่มตอนนั้นเลยครับ เริ่มทำงานด้วยตัวเอง หาเงินด้วยตัวเอง ความจริงตอนผมเรียนมหาลัย ผมก็เริ่มหาค่าขนมให้ตัวเองบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีเงินค่าขนมมาจากทางบ้านบ้างเป็นค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าน้ำมันรถ แต่ว่าผมก็ทำงานด้วยตัวเองบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างผมไปแคสงานต่าง ๆ โฆษณา รับสอนพิเศษ อยากได้อะไรก็หาเงินซื้อเอง ของที่เราสามารถซื้อด้วยตัวเองได้ มันเป็นความภูมิใจมากกว่า จนมาเริ่มทำงานด้วยตัวเองจริง ๆ ตอนเรียนจบ

สิ่งที่คุณจดจำได้แม่นยำจนถึงตอนนี้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณแม่สอนคือเรื่องอะไร
เรื่องของความพยายาม ความตั้งใจ เพราะคนเราต้องเจออุปสรรคเข้ามาอยู่แล้ว สิ่งที่ถูกปลูกฝังก็คือถ้าเราตั้งใจทำสิ่งนั้นแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง ถ้าผลมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดไว้มันต้องเกิดความผิดหวัง แต่ว่าเราจะไม่เสียใจกับมัน เพราะว่าเราตั้งใจทำกับมันแล้ว ตั้งใจเต็มที่ แต่สุดท้ายผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ถือว่าเราได้ทำเต็มที่กับมันแล้ว เราอาจจะผิดหวังได้ แต่เราจะต้องไม่เสียใจกับมันครับ

ผู้ชายวัย 30 + อย่าง “บอย ปกรณ์” มีสิ่งไหนที่เลิกทำบ้าง และอะไรเป็นสิ่งใหม่ที่คุณเพิ่งเคยทดลองทำในช่วงวัยนี้?
สิ่งที่เกิดกับผมช่วงปีสองปีที่ผ่านมาก็คือเรื่องของการทำธุรกิจครับ มันเป็นสิ่งที่มาตามวัย มาตามความสนใจ ผมเป็นคนสนใจการค้าขายอยู่แล้ว ผมชอบเรื่องการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า จนวันนึงมีคนชวนทำก็เลยเริ่มมาเรื่อย ๆ และกลายเป็นธุรกิจที่เราเริ่มสนใจ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ มันจำเป็นในอนาคต แม้ทุกวันนี้เรายังไม่ทำแบบเต็มตัว มีเพื่อนทำด้วย ยังไม่ได้รับผิดชอบเต็มตัว แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ สอนเราเยอะนะ เผื่อว่าวันข้างหน้า ถ้าเราจะเริ่มทำอะไรด้วยตัวเอง เราก็จะสามารถหยิบจับมันเป็น

แล้วสิ่งไหนที่เลิกทำในช่วงวัยนี้
พอเราอายุสามสิบ จะเป็นคนติดบ้านมากขึ้น เหมือนกับว่าตอนวัยรุ่นเราอยากออกจากบ้าน เสาร์ อาทิตย์ อยู่บ้านไม่ได้ ต้องออกไปหาเพื่อน แต่ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะเราทำงานด้วย พอเราทำงานปุ๊บ ถึงวันที่ว่าง เราก็อยากจะหยุดพักอยู่บ้านบ้าง พักร่างกาย การที่ออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนก็ลดน้อยลงไปตามวัยของมัน

คนทั่วไปที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับคุณภาพของคุณคือความเกรียน สนุกสนาน ขึ้เล่น จริงๆ แล้วตัวตนคุณเกรียนแบบนี้หรือเป็นการสร้างคาแรคเตอร์ขึ้นมา
ความจริงตัวผมแบ่งเป็นแบบครึ่งๆ ส่วนหนึ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นคนสนุกสนาน เกรียน เฮฮา ความเฮฮา ความเกรียนที่ทุกคนเห็นในทีวี เวลาไปออกรายการ หรืออะไรก็ตาม มันก็คือตัวตนของผมแหละ แต่มันก็อาจจะมีปรุงแต่งบ้างตามสถานการณ์ หรือตามรูปแบบรายการ สุดท้ายแล้วมันก็คือตัวตนของผมที่ไม่ได้เกิดจากการพยายามทำ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แล้วก็กาลเทศะด้วยครับ เพราะงั้นผมจะบอกว่า 50% ของตัวผมมันก็คือความสนุกสนานนั่นแหล่ะ อย่างในหนังเรื่อง “จำเนียร วิเวียน โตมร” ผมแสดงกับพี่ชมพู่ และ อาเล็ก เป็นหนังคอมเมดี้ผมก็เล่นสนุกสนานกับพวกเขาได้ แต่มันก็มีอีกมุมนึง มุมที่ทุกคนไม่ค่อยได้เห็นนั่นคืออีก 50% ผมเป็นคนที่ซีเรียสกับการใช้ชีวิต เป็นคนจริงจัง เป็นคนคิดมาก คิดเยอะ เป็นคนเซนซิทีฟกับสิ่งที่คนเข้ามาพูดหรือได้รับข้อมูลอะไรเข้ามาซักอย่าง มุมนี้จะต้องเป็นคนที่ผมค่อนข้างสนิท เป็นคนในครอบครัว หรือว่าเพื่อน ที่จะรู้ว่าผมมีมุมนี้ แต่ว่าถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ค่อยมีมุมนี้ให้ใครได้เห็น จะเก็บไว้กับตัวเองมากกว่าครับ

แบบนี้เวลามีคนมาคอมเมนท์ในโซเชียลมีเดียแบบดีบ้างไม่ดีบ้าง เราเก็บเอาตรงนี้ไปคิดบ้างไหม
มีบ้างนะครับ เป็นธรรมดาของมนุษย์ ถ้าเกิดว่าอยู่ดีๆ มีคนมาพูดกับเราในทางไม่ดี เราก็ต้องรู้สึกไม่ดีบ้างอยู่แล้ว แต่ว่าพอเราโดนเรื่อยๆ หรือว่าพอทำงานตรงนี้นานขึ้นเรื่อยๆ มันก็สอนเราว่า บางทีเราต้องเลือกใส่ใจกับสิ่งที่เป็นผลดีกับเราแล้วต้องดูที่ตัวเราด้วย เพราะมันไม่มีมนุษย์คนไหนสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว เราไม่มีทางทำให้ทุกคนชอบเราได้ ต้องมีคนที่ชอบเราและไม่ชอบเราเป็นปกติ บางทีเรายังเจอคนบางคนที่ไม่ถูกชะตากับคนนี้ แต่กลับถูกชะตากับคนนี้ ต้องทำใจสบายๆ ว่าโอเค มันไม่มีทางที่จะรักได้ทุกคน ต้องเปิดใจและยอมรับ บางทีสิ่งที่เขาพิมพ์มาเมนท์มา หรือตำหนิมาเราก็ต้องหยิบมาดูว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงรึเปล่า ถ้าเกิดมันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วไม่ดีจริงๆ เราก็ต้องเอามาปรับปรุง เราต้องเปิดใจตรงนี้ด้วย

ในครอบครัว คุณคือพี่ชายคนโต ต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไปพร้อมๆ กันด้วยหรือเปล่า หรือเป็นหน้าที่ร่วมกับน้องชายอีก 2 คน
ผมว่ารวมๆ กันนะครับ ถ้าถามว่าทุกวันนี้ แกนหลักของบ้านผมก็คือคุณแม่เพราะคุณพ่อเสียไปแล้ว ความจริงสำหรับผมแล้ว ลูกๆ ในบ้าน แม่ คือเป็นทั้งพ่อและแม่ของพวกผมนะครับ คือเป็นศูนย์รวมในบ้านที่ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเราจะต้องขอคำปรึกษาจากแม่ หรือว่าทำอะไรเราก็จะยึดตามคำสอนที่แม่เคยบอก แม่เคยสอน แล้วทุกคนช่วยกันดูแล ทั้งผม ทั้งหน่อง ทั้งภัทร จะช่วยกันดูแลครอบครัว แต่หลักๆแล้วผมว่าแม่ก็ยังเป็นเสาหลักของที่บ้านอยู่

กับ “น้องวันใหม่” คุณมีวิธีอบรบ หรือสอนอะไรให้เขาบ้าง
วันใหม่คือสมาชิกในครอบครัวของผม เขาคือสายเลือดฉัตรบริรักษ์ สำหรับพวกเราแล้ว เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัวของผม การที่มีวันใหม่เข้ามาในครอบครัวของผม ทำให้ครอบครัวของผมมีความสมบูรณ์มากขึ้น ถ้าถามว่าที่บ้านหรือผมเอง สั่งสอนเขายังไง ก็ต้องเริ่มที่แม่ก่อน เพราะวันใหม่อยู่กับแม่มากที่สุด นอนกับแม่ แม่ไปส่งที่โรงเรียนหลักๆ นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่แม่สอน วันใหม่ ก็เหมือนกับสิ่งที่แม่สอนพวกผมนั่นแหล่ะ ใช้หลักสูตรเดียวกัน ที่แม่สอนก็คือ สอนให้วันนึงโตขึ้นมาไปใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้อย่างปกติและราบรื่น อย่างเช่นเรื่องความเกรงใจ เรื่องมารยาท ค่อยๆ ถูกปลูกฝังไป เรื่องของความเป็นระเบียบวินัยที่บ้านคุณแม่จะเน้นเรื่องนี้มากตั้งแต่ผมเด็กๆ ทั้งพ่อทั้งแม่ครับ จะเน้นเรื่องความมีระเบียบวินัย คำว่าคุณสมบัติของผู้ดี เช่น ความเกรงใจ ความมีมารยาท พวกผมได้รับการสอนมาอย่างไร วันใหม่ก็ได้รับการสอนอย่างนั้น แต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กผู้หญิง หรือ ด้วยความเปลี่ยนแปลงของสังคมในสมัยนี้ที่อาจจะไม่เท่าสมัยก่อน ก็มีการหย่อนให้บ้าง ไม่ได้จริงจังเท่าตอนผมมาก มันก็เป็นปกติ ถ้าเทียบ ผม หน่อง กับภัทร ผมก็เป็นคนที่ผ่านช่วงที่เข้มงวดมากที่สุด พอหน่องโตขึ้นมา หรือภัทรโตขึ้นมา ก็ไม่ได้รับความเข้มงวดเท่ากับที่ผมได้รับ เอาง่ายๆ อย่างตอนเด็กๆ ผมจะออกไปข้างนอกกับเพื่อน เราก็จะขออนุญาตโน่นนี่ เพราะแม่จะเป็นห่วง กลัวอันตราย แต่ว่าเราโตขึ้นมา แม่เห็นแล้วว่าเราผ่านมาได้ ไม่ต้องกลัวอะไร เด็กผู้ชายไปข้างนอกดูแลตัวเองได้ พอเป็นรุ่นหน่องกับภัทรก็จะมีความสบายใจขึ้น ผ่อนตรงนี้มากขึ้น วันใหม่ก็เหมือนกัน เขาก็จะโตขึ้นมาด้วย การที่แม่ใส่ความมีระเบียบวินัยไว้ แต่มีความหย่อนลงมากว่าเดิม

ผู้ชายวัย 32 ปี ได้เรียนรู้อะไรจากเด็กผู้หญิงวัย 5 ขวบอย่างน้องวันใหม่
พอเรามีวันใหม่เข้ามาในบ้าน เราได้ดูแลวันใหม่ ได้เลี้ยงวันใหม่ ได้ใช้ชีวิตกับเขา มันก็เหมือนเรามองย้อนไปเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ทำไมเด็กๆ เขาถึงมีความคิดอย่างนี้ เราจำตอนเด็กๆ ไม่ได้ทั้งหมด แต่ว่าเรามีความทรงจำที่มันหลงเหลืออยู่บ้าง เป็นภาพจำ ตอนเด็กๆ เราก็เคยเป็นอย่างนี้ เราก็เคยมีความรู้สึกอย่างนี้นะ ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างนี้เอง แล้วมันเกิดจากอะไร เราก็ได้เรียนรู้ความเป็นเด็กจากเขา แล้วผมยังได้เรียนรู้การดูแลเด็ก ตัวผมเองเป็นคนชอบเด็กอยู่แล้ว แต่พอเรามีเด็กน้อยเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับเรา ได้ใกล้ชิดกัน วันนึงผมก็ต้องมีครอบครัว ผมก็ต้องเลี้ยงลูกผม วันใหม่ก็น่าจะเป็นคนให้ประสบการณ์ตรงนี้กับผม ว่าการเลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูกมันเป็นยังไง ความจริงผมตื่นเต้นและเฝ้ารอวันนั้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร คือวันที่ผมมีลูกของผมเอง แล้ววันใหม่ได้มาเลี้ยงลูกผม น่าจะเป็นอะไรที่รู้สึกดี เพราะว่าเขาก็คงจะอยู่ในวัยที่ไม่ห่างกันมาก ลูกผมต้องเป็นหลานของวันใหม่ แต่ว่าความรู้สึกของเขาน่าจะเป็นพี่น้องกัน ผมก็เฝ้ารอวันที่เขาจะได้อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน

เคยเห็นให้สัมภาษณ์ว่าอยากเปิดร้านขายยา ตอนนี้คุณยังฝันแบบนั้นอยู่ไหม
ก็ยังมีอยู่ ถ้าถามว่าเป็นความฝันไหม มันก็ไม่เชิงว่าเป็นความฝันตอนเด็กๆ หรืออะไร พอเราได้มีโอกาสเรียนเภสัช พอเรียนจบมา ช่วงที่เรียนเราก็ได้ไปฝึกงานหลายๆ ด้าน ไปฝึกงานร้านขายยา โรงงานผลิตยา บริษัทยา อยู่โรงพยาบาล สุดท้ายสิ่งที่เราชอบมากที่สุดก็คือร้านขายยา เพราะว่าเราได้พูดคุยกับคนป่วยจริงๆ เขาเข้ามาหาเรา แล้วต้องการความช่วยเหลือ ได้ช่วยเหลือเขาแล้วเรารู้สึกดี พอเรียนจบมามีความคิดว่าอยากมีร้านขายยาเป็นของตัวเอง จากตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ก็ยังมีความคิดนั้นอยู่ แค่มันอาจจะเลื่อนระยะเวลาออกไปแค่นั้นเอง การเปิดร้านขายยาค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แล้วเรายังไม่มีเวลามากขนาดนั้น ยังไม่มีคนที่จะมาช่วยดูแล ก็รอจังหวะที่พร้อมมากกว่านี้ แต่ถ้าถามว่ามันยังเป็นสิ่งที่อยากทำอยู่ไหม ก็ยังอยากทำอยู่

สำหรับคุณจำเป็นไหมที่จะต้องทำตามความฝันทุกอย่าง
ไม่ขนาดนั้นครับ ผมเป็นคนที่ไม่ได้วางแผนระยะไกลมาก ไม่ได้เป็นคนแบบว่าโตขึ้นจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มีความฝันอันสูงสุด ถึงแม้ว่าผมไม่ได้เปิดร้านขายยา ผมก็คงไม่ถึงขั้นเสียใจมาก แต่อาจเสียดาย เพราะว่าผมเป็นคนที่มองชีวิตในระดับกลางๆ มากกว่า วางแผนไว้กลางๆ แต่ว่าการมีเป้าหมายก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราพยายามไปถึงจุดนั้นให้ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าถ้าเราไปไม่ถึงจุดหมายนั้นจริงๆ เราไม่มีอย่างอื่นแล้ว เดี๋ยวถึงจุดๆ นั้น มันจะบอกเราเองว่าเป้าหมายระยะกลางอันต่อไปคืออะไร วันนึงเดี๋ยวเกิด จะมีทางเลือกให้เรารู้สึกว่าอันนี้น่าสนใจกว่า เพราะงั้นมองอะไร ไม่ต้องมองไกลมาก

น้องวันใหม่ โตขึ้นทุกวันถ้าเกิดมีหนุ่มๆมาจีบอย่างนี้ ทำไง หวงไหม
คิดเหมือนกัน ก็เริ่มคิด ถ้าโตขึ้นมีคนมาจีบ เราจะทำใจได้ไหม ก็คงเป็นห่วงเขา ตอนนี้ก็ไม่หวงเท่าไร แต่หมายถึงว่า ไปไหนมาไหน แล้วมีคนเอ็นดูน้องเรา เราก็ดีใจ รักน้องเรา แต่ว่าวันนึงถ้าโตขึ้น ถึงวัยที่มีสังคม มีความรัก คงหวงเขาเหมือนกัน เยอะด้วย

ในการใช้ชีวิต บอยก็เจอเรื่องราวต่างๆ มามากมาย คุณมีวิธีการแก้ปัญหา หรือรับมือยังไง ให้เราไม่เครียดจนเกินไป?
ก็เครียดนะ เวลาเราเจออะไรเหตุการณ์อะไรที่เป็นปัญหากับเราผมเป็นคนที่หลีกเลี่ยงความเครียดยาก เป็นคนคิดมากอยู่แล้ว เป็นคนเซนซิทีฟ เพราะฉะนั้นถ้าเจออะไรกระทบเข้ามาก็จะเครียด สิ่งที่ทำให้ผมผ่านความเครียดมาได้ก็คือเราจะปรึกษาแม่ หรือว่าจะปรึกษาใครก็ตาม ทุกคนจะมีสิ่งที่บอกเข้ามาว่าเราพลาดอะไรไปแล้ว เราก็แก้ไขอย่าไปจมอยู่กับมันมาก มันเป็นสิ่งที่คนบอกเพื่อให้เราสบายใจมากขึ้น เราก็พยายามที่จะนำตรงนี้มาเข้าหัวเรา เข้ามาในกระบวนการความคิดเราให้มากที่สุด แต่ว่าบางทีก็ยาก เป็นคนที่ถ้าเกิดว่าจมอยู่กับความทุกข์หรือถ้าเครียด ก็จะเครียดอยู่อย่างนั้น สิ่งที่มันจะทำให้เราผ่านไปได้ก็คือแค่เวลา สำหรับผมคือถ้านั่งทุกข์มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น สำหรับผมแล้วเวลามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าเวลาผ่านไป สถานการณ์อะไรก็ตาม มันต้องคลี่คลาย เวลามันจะเป็นสิ่งที่ช่วยทุกอย่าง มันไม่มีทางที่จะจมอยู่กับความทุกข์อย่างนั้นตลอดไป ยังไงก็ตาม เราจะต้องเจอวันที่มันดีกว่านี้ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

พอพูดถึงเรื่องเวลา ตอนนี้คุณเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของช่อง ถ้าวันนึงคุณอาจจะไม่ได้รับบทเป็นพระเอกแล้ว เคยคิดบ้างไหมว่าจะรับมือยังไง
คิดไว้คร่าวๆ นะครับ ด้วยวัยของผมมันปฏิเสธไม่ได้ เอาง่ายๆ อย่างแรกงานในวงการมันไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรอยู่แล้ว มันก็ต้องมีมา มีไปเป็นธรรมดา อย่างตัวผมเอง ถึงวัยที่ไม่ได้เป็นวัยรุ่น แบบ ณเดชน์ หมาก ที่เขายังอยู่ 24-25 ผมก็ 32 แล้ว เพราะงั้นมันก็ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าไว้บ้าง แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้เป็นจริงเป็นจังมาก คือผมก็มองไว้เรื่อยๆเปื่อยๆ เช่นผมสนใจงานเบื้องหลังไหม ผมก็สนใจ ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะเริ่มยังไง อะไรยังไง แต่สิ่งที่ตอนนี้ปูไว้อย่างเดียวก็คือเรื่องของธุรกิจ คือการทำธุรกิจของผม มันมีหลายเหตุผล ด้วยวัยของผมด้วย สองคือการเรียนรู้ด้วย สามก็คือเนี้ยแหล่ะอนาคต อันนี้คือหนึ่งเหตุผล ถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ ตรงนี้แล้ว ถ้าเราต้องไปหาอะไรทำเอง เราจะได้มีมีความรู้ แล้วเริ่มทำมันได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาเริ่มจากศูนย์ใหม่ตอนนั้น ทุกวันนี้ก็มีโปรเจคในหัวที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เพื่อการหาเลี้ยงครอบครัวบ้าง มีทั้งโปรเจคที่คิดกับเพื่อนบ้าง โปรเจคที่คิดกับครอบครัวบ้าง

สำหรับ “บอย ปกรณ์” แล้วถึงตอนนี้ คิดว่าเป็นจุดสูงสุด หรือพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้วหรือยัง เพราะตอนนี้ถือได้ว่าคุณเป็นพระเอกอันดับต้นๆ ของช่อง 3
ผมก็ไม่ได้เป็นเบอร์ต้นของช่องหรืออะไรนะครับ ถ้าถามผมสิ่งที่น่าจะเป็น จุดสูงสุดของคนที่เป็นนักแสดงก็คือการที่ทำผลงานออกมาแล้วมีคนนิยมชมชอบ แล้วอีกอันนึงก็คือรางวัลของการแสดงเป็นสิ่งที่การันตีความสามารถคือใครๆ ก็อยากได้รางวัลจากการทำงาน คือสิ่งที่เป็นกำลังใจ สิ่งที่ทำให้เราสู้ต่อไป ถ้าถามว่าผมถึงจุดตรงนั้นรึยัง ผมก็ยังไม่ถึงจุดตรงนั้น แต่ถ้าถามว่าผมพอใจในจุดตรงนี้ไหม ผมก็ค่อนข้างพอใจกับจุดที่ผมเป็นคือ คนเรามีความสามารถหรือพรสวรรค์ไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าทุกวันนี้ผมอยากพัฒนาให้ดีกว่านี้ จุดตรงนี้เราก็แฮปปี้ แต่เราต้องพยายามถีบตัวเองไปให้มากกว่านี้ด้วย ถ้าเราพอใจ หยุดอยู่กับที่ก็ไม่ดี พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีได้ แต่ว่าก็ต้องพยายามก้าวขึ้นต่อไปด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook