“สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์” กับปรัชญาการทำงานแบบเอาหัวชนกำแพง ในวัยใกล้ 50

“สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์” กับปรัชญาการทำงานแบบเอาหัวชนกำแพง ในวัยใกล้ 50

“สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์” กับปรัชญาการทำงานแบบเอาหัวชนกำแพง ในวัยใกล้ 50
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ หนุ่มใหญ่วัย 46 ที่เมื่อกว่า 20 ปีก่อน เขาคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเบเกอรี่มิวสิค ค่ายเพลงแหกคอกที่สร้างปรากฏการณ์ความแปลกใหม่ทำให้นักฟังเพลงบ้านเราได้รู้จักกับศิลปินอัลเทอร์เนทีฟในตำนานอย่างวงโมเดิร์นด็อก รวมถึงยังมีศิลปินสร้างชื่ออีกมากมายในสังกัดทั้งโจอี้ บอย โป้ โยคี เพลย์บอย พอส ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ศิลปินที่อยู่ในความทรงจำ

แต่หลังจากเบเกอรี่มิวสิคประสบภาวะขาดทุนในเวลาต่อมา รวมถึงเหตุผลทางธุรกิจต่างๆ ทำให้เขาและผู้ร่วมก่อตั้งค่ายเพลงอย่างคุณบอย โกสิยพงษ์ คุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ต่างแยกย้ายจากกันด้วยดีและมุ่งหน้าเดินตามเส้นทางของตนเอง สำหรับคุณสุกี้เลือกเปลี่ยนตัวเองไปทำรายการทีวี ควบคู่ไปกับนั่งเก้าอี้ผู้บริหารให้กับธุรกิจครอบครัว รวมแล้วเป็นเวลาร่วม 10 ปีที่เขาหันหลังให้กับวงการเพลง

Sanook! Men มีโอกาสพูดคุยถึงการกลับมาอีกครั้งของชายผู้มีดนตรีอยู่ในสายเลือด เขาจะกลับมาทำอะไร เขาจะไหวหรือเปล่ากับพฤติกรรมการฟังเพลงที่เปลี่ยนไป และอะไรคือความฝันของชายวัย 46 อย่างสุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์

สำหรับคุณ นี่คือการกลับมาแบบเต็มตัวอีกครั้งกับงานดนตรีเลยใช่ไหม
ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้ทำงานบันเทิงเต็มตัวเหมือนสมัยตอนเด็กที่ผมทำเต็มตัว 100 เปอร์เซ็นต์ ผมต้องช่วยธุรกิจครอบครัว แต่ว่ายังไงก็ตามผมอยากมีมือหนึ่งอยู่ในวงการบันเทิงคือประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ถึงขนาดเต็มตัว ไม่ใช่มาเปิดค่ายใหม่แล้วทำ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มตัว คือกลับมาพอให้แฟนๆ หายคิดถึงและตัวเราก็คิดถึงวงการเพลงด้วย


เมื่อปีที่แล้วนี่เองที่คุณทำเพลงสไตล์ EDM (อีเล็คโทรนิคส์ แดนซ์ มิวสิก) ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
ผลตอบรับไม่ง่าย เด็กที่ฟัง EDM จะเป็นวัย 20 ต้นๆ ผม 46 ละ ช่องว่างมันเลยค่อนข้างใหญ่มากและสิ่งที่เราโชคดีก็คือเรามีแฟนเพลงเก่าๆ เป็นฐานอยู่แล้ว ก็เลยมาช่วยสนับสนุนอยู่เยอะ

ในระหว่างที่คุณเบรกไป และการกลับมาครั้งนี้ วงการเพลงในบ้านเราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากคุณบ้าง
เหตุผลที่ผมเลิกทำ EDM ตอนนั้นคือผมอยากทำอะไรใหม่ๆ ผมไม่ได้อยากมาหากินกับของเก่า พยายามสร้างสรรค์อะไรที่ใหม่ ถ้าเกิดเราดูประวัติของค่ายเบเกอรี่ฯ เราก็จะรู้ว่าพวกเราทำอะไรใหม่ๆ เสมอมา ตอนนี้ที่ผมมาทำโปรเจ็คท์ ยิปซี คาร์นิวัล“ (Gypsy Carnival) ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้าก็เพราะว่าผมต้องการทำอะไรในรูปแบบใหม่

สำหรับมืออาชีพแบบคุณแล้ว การกลับมาอีกครั้งแบบนี้ คุณต้องเคาะสนิมตัวเองในเรื่องอะไรบ้าง
ผมเรียกว่าครีเอทีฟ ถ้าเกิดเรามีการสร้างสรรค์อยู่ในหัวแต่เราปิด มันก็เหมือนปิดก๊อกน้ำไปนานเราต้องข้ามเขาลูกแรกให้ได้ก่อน คือจะให้ทุกอย่างมันไหลลื่นมันก็ต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน กว่าทุกอย่างจะกลับมาเพราะมันหายไปนาน ก็เหมือนกับนักกีฬาเราไม่เล่นกีฬาไปนานร่างกายและกล้ามเนื้อมันก็ไม่ฟิต มันต้องกลับไปฟิตใหม่ใช้เวลานานเหมือนกัน และก็ต้องปรับตัวใหม่กับสิ่งแวดล้อมที่มันเปลี่ยนไป คือวงการเพลงแบบที่เรารู้จักมามันพังไปแล้วมันไม่มีแล้ว จบแล้ว มันกลายเป็นอีกแบบหนึ่งแล้วในปัจจุบัน

และการกลับมาครั้งนี้คิดว่ามันจะกลายเป็นปรากฏการณ์ในวงการเพลงบ้านเราเหมือนสมัยทำเบเกอรี่มิวสิคไหม
ถ้าเกิดเป็นได้ก็ดี เราก็ถือว่าเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง คอนเสิร์ตที่จัดไปที่พารากอนคนก็เต็มหมื่นหนึ่ง ถามว่าเป็นปรากฏการณ์ได้ไหม ก็คิดว่าเป็นไปได้นะเพราะไม่เคยมีใครเอาเพลงไทยมาทำเป็นรูปแบบใหม่เป็นคอนเสิร์ตที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน แต่ถามว่ามันจะกระแทกใจเหมือนสมัยก่อนที่กระทบไปทั้งหมดเลยคงเป็นไปได้ยากคือวงการเพลงเดี๋ยวนี้ผมก็ไม่เห็นว่ามีใครทำได้แบบนั้นแล้ว ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบเฉพาะกลุ่มไปไหมด เป็นกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้น

ทุกวันนี้สำหรับคนฟังเพลง เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เราจดจำ หรืออยู่ในความประทับใจเหมือนเพลงสมัยก่อน สำหรับคุณคิดอย่างไร
วงการเพลงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเพลงและทำนอง ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับวงการหนังก็คือบทหนัง สมมุติเราดูหนังเอาดาราที่สำคัญที่สุดมา เอาแบรด พิตต์มาเล่น เอาสตีเฟ่น สปีลเบิร์กมากำกับ ใช้เอฟเฟคของจอร์จ ลูคัส แต่ถ้าเกิดบทมันห่วยหนังมันก็ห่วย กับเพลงเหมือนกันนักร้องหน้าตาดี อัดเสียงเมืองนอก โปรดิวเซอร์อันดับหนึ่ง แต่ถ้าเกิดตัวเพลง เนื้อ ทำนองห่วย เพลงมันก็ห่วย สมัยนี้คนใส่ใจเนื้อร้องกับทำนองน้อยลงเพราะว่าเป็นแบบนี้เพลงมันเลยไม่ค่อยมีคนจดจำ ซึ่งเพลงที่ฮิตอยู่ตอนนี้อีก 5 ปี คนก็ไม่จำแล้ว สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วคือมาแล้วก็ไป แต่เนื้อร้องและทำนองสำคัญอันดับหนึ่งเพลงมันก็จะทำให้คนจดจำได้

การฟังเพลงของคนในยุคนี้เปลี่ยนไป คุณไม่กังวลเรื่องรายได้บ้างเหรอ เพราะส่วนใหญ่นักร้องตอนนี้คือพึ่งพาการดาวน์โหลดอย่างเดียวไม่ได้ จะมีรายได้จริงๆ ก็จากการจ้างงานมากกว่า
รายได้มันหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว เดี๋ยวนี้รายได้ของศิลปินมาจากคอนเสิร์ตอย่างเดียว เป็นรายได้ที่มันจับต้องได้ ผมว่าต้องปรับตัวไปกับมัน ไปบ่นกับมันไม่ได้ โลกมันเปลี่ยนไปแล้วเพราะโซเชียลมีเดียหรืออินเทอร์เน็ตนี่แหล่ะที่ทำให้เปลี่ยน ศิลปินในปัจจุบันนี้ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากเป็นศิลปิน สำหรับคุณมันยังยึดถือเป็นอาชีพอยู่ได้ไหม
คุณต้องเป็นศิลปินใหญ่ถึงจะเป็นอาชีพได้ ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีศิลปินรุ่นใหม่ที่สามารถเล่นแล้วเกิดอิมแพคได้ หรือขายตั๋วให้เต็ม มุมมองผมคิดว่าวงการเพลงไทยมันจบตั้งแต่รุ่น Bodyslam, Big Ass พวกผมเป็นรุ่นก่อนพวกเค้า ซึ่งมันมาจบที่รุ่นพวกเค้า และหลังจากนี้คุณมีอาชีพดนตรีได้ยาก คือคุณเล่นดนตรีได้แต่กลางวันก็ต้องไปขายก๋วยเตี๋ยว หรือว่าทำงานให้พ่อแม่ ซึ่งอินเทอร์เน็ตบอกได้ว่ามันคือตัวเปลี่ยนโลกเลยก็ว่าได้ สามารถดูคอนเสิร์ตสดๆ ได้ ดาวน์โหลดเพลงฟรีได้ น้อยคนที่จะดาวน์โหลดแบบเสียตังค์

คุณอยากให้วงการเพลงมีอะไรใหม่ๆ แล้วคุณได้อะไรจากความแปลกใหม่ตรงนั้น
สมัยที่เราเริ่มทำเบเกอรี่ฯ เพราะเรารัก เราแค่เป็นเด็กไฟแรงอยากทำเพลง อยากได้ความสุข ไม่ได้หวังทำเป็นธุรกิจ มาถึงวันนี้ผมอยากทำอะไรใหม่มันก็คืออยากทำอ่ะ แต่เรามีประสบการณ์พอ เรามีความรู้พอที่จะทำให้มันไปได้ รู้วิธีการจัดการต่างๆ คือผมเจ๊งอ่ะเพราะผมมีวีธีของผม แต่สิ่งที่ผมอยากทำอะไรใหม่ๆ สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือผมอยากสนุกกับวงการ ถ้าเกิดผมกลับมาแล้วทำอะไรแบบเก่าๆ มันก็ไม่สนุก ซึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ผมไม่ทราบ และผมคิดว่ามันสำคัญจากที่ผมนั่งคุยกับ บอย โกสิยพงษ์ ไม่มีศิลปินใหม่ รุ่นล่าสุดก็คือ แสตมป์ที่ดัง แล้วอีก 10 ปีจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดไม่มีศิลปินใหม่เกิดมา วงการมันก็จะไม่มีอนาคต ความสำคัญก็คือต้องมีศิลปินเลือดใหม่ ถ้าไม่มีศิลปินใหม่ สิ่งใหม่ๆ มันก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันจะกลายเป็นเทรนด์คือขึ้นเร็วลงเร็ว

จริงๆคุณเป็นคนมีฐานะ หลายคนอาจสงสัยว่าคุณจะมาทำดนตรีแบบที่ไม่มั่นใจในรายได้ทำไม ทั้งๆที่คุณเป็นผู้บริหารก็อยู่ได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว
อย่างแรกคือเรารัก อย่างที่สองคือผมเป็นคนชอบความท้าทาย ชอบทำสิ่งใหม่ๆ ถ้ามีใครมาบอกว่าทำไม่ได้ผมไม่เชื่อ ผมจะพยายามทำให้ได้ แค่เรามีความกล้า กล้าทำ กล้าชน ต้องคิดนอกกรอบ ย้อนกลับไปตอนสมัยที่ผมทำเบเกอรี่มิวสิค สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดไม่ใช่ตัวเบเกอรี่ฯ แต่สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดคือเราช่วยเปลี่ยนวงการเพลง ก่อนพวกเราศิลปินไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย โปรดิวเซอร์ทำให้ทุกอย่าง แต่พอมาเป็นรุ่นเราเข้ามานะ ศิลปินก็ต้องทำเองทุกอย่าง ซึ่งหันมาดูปัจจุบันกลายเป็นแบบนี้หมดแล้ว เราช่วยเปลี่ยนตรงนั้น แต่อันที่ทำไม่สำเร็จก็เยอะและล้มเหลวก็มี ซึ่งคุณลุงได้ให้คำปรึกษาที่ดีว่าเอาหัวชนกำแพงไปเรื่อยๆ ถ้ากำแพงไม่พังหัวก็พัง

เป้าหมายที่คุณวางไว้ในเวลาอันใกล้นี้คืออะไร
ผมเพิ่งแต่งงาน มีลูก ปีนี้ผม 46 เมื่อไหร่เราโตขึ้นเรื่อยๆ ความสุขมันสำคัญถ้าไม่มีความสุขแล้วเราทำไปทำไม เป้าหมายในระยะใกล้คือทำให้ชีวิตมันสมดุล ทั้งชีวิตส่วนตัว การงาน ครอบครัว ซึ่งครอบครัวสำคัญที่สุด
เราจะได้เห็นคุณสุกี้ในวัย 60 ปี ซึ่งเป็นวัยเกษียณออกมาในลักษณะไหนขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก ผมมีความสุขที่สุดเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ได้เข้าป่า ตั้งแคมป์ ผมมีความสุขอยู่กับตรงนั้น ผมออกทริปแบบไม่มีเป้าหมายคือไปเรื่อยๆ ได้เจออะไรใหม่ๆ มันเป็นการพักผ่อน เป็นการผ่อนคลายสมอง ทำให้ชีวิตกลับมาสมดุล

มีช่วงหนึ่งที่คุณหันไปทำรายการเกี่ยวกับการเดินทาง คุณได้อะไรจากการเดินทางร่วมกับคนแปลกหน้าและการได้พบเห็นสิ่งต่างๆ
ได้เยอะเลย คือผมอยู่ในวงการเพลงมาทั้งชีวิต วงการเพลงนี่คือทุกอย่างในโลกของเรา แต่พอเราเดินออกไป ทำให้โลกของเรากว้างขึ้น ได้เห็นวิถีชีวิตของคนอื่นๆ ได้ค้นพบว่าที่จริงแล้วโลกมันมีอะไรอีกเยอะมันใหญ่กว่าที่เราคาดคิดไว้ ผมไปทำรายการทีวี ผมไปขี่มอเตอร์ไซค์ ผมไปทำก่อสร้าง เรามีแค่ชีวิตเดียว ถ้าเรามีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ได้เยอะๆ ต้องกล้า

อย่างคุณบอย โกสิยพงษ์ยังได้รับฉายาว่าเจ้าพ่อเพลงรัก แล้วคุณอยากได้ฉายาจากวงการเพลงว่าอย่างไรบ้างไหม
คนสร้างสรรค์ของใหม่ เจ้าพ่อคิดนอกกรอบ อะไรประมาณนี้

แน่นอนว่าวันหนึ่งคุณคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่คุณอยากส่งต่อให้กับคนในวงการดนตรีในบ้านเราคืออะไร
อยากให้สร้างสรรค์ อยากให้พยายามสร้างอะไรใหม่ มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้น ตอนที่เราทำเบเกอรี่ฯ ทุกคนคิดว่าเราทำไม่ได้ ขอแค่ให้เรากล้า กล้าที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ คือจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ให้เป็นสิ่งใหม่ๆ ไม่งั้นมันจะน่าเบื่อ มันจะตาย

คุณมีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จและมายืนอยู่จุดนี้ได้
ผมเคยเป็นหนี้ 80 ล้านตอนอายุ 26 สิ่งที่ผมเรียนรู้ตอนนั้นคือปัญหามันจะหนักแค่ไหนต้องมีสมาธิ “ตราบใดที่เรามีสติ ทุกอย่างมีคำตอบ” เหมือนนักมวยเวลาชกต้องพยายามชกอย่างมีสติแล้วมันจะมีหนทางของมันเอง อย่าอยู่นิ่ง ต้องเป็นคนขยัน เกิดมาผมไม่เคยเจอคนขยันแล้วไม่ได้อะไรเลย ขอให้เราขยันแล้วเหมือนมันจะมีอะไรโผล่ออกมาเองอย่าขี้เกียจ ฟังแล้วเหมือนธรรมดามาก แต่ผมสังเกตเห็นจากชีวิตจริงและคนรอบตัว นอกจากนี้สัญชาตญาณมันช่วยบอกเราและผมก็ใช้สัญชาตญาณมาตลอด เคล็ดลับธุรกิจผมคือใช้สัญชาตญาณบอกให้เราทำและหาข้อมูลต่างๆ มาประกอบเพื่อวางแผนให้รัดกุม นั่นคือวิธีที่ผมใช้ในการทำงาน ผมจะใช้สัญชาตญาณนำไม่ใช้ตัวเลขนำ

เอาหัวชนกำแพงไปเรื่อยๆ ถ้ากำแพงไม่พังหัวก็พัง คำปรึกษาจากลุงคุณสุกี้ที่แฝงไปด้วยความหมายหากเรามีความพยายามกล้าทำ ขยันขันแข็ง เราก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและประสบความสำเร็จได้อย่างผู้ชายอารมณ์ดี“ สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ ” ใช้สัญชาตญาณนำ ความกล้าตาม และประสบความสำเร็จด้วยความพยาม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook