10 เรื่องน่ารู้เพลง "คนบนฟ้า" โดย ต้า Paradox

เนื่องจากเป็นวันวาเลนไทน์ ก็เลยนึกไปถึงวันที่กำเนิดเพลง "คนบนฟ้า" ขึ้นมา ในวันนั้นมีเหตุการณ์หลากหลายที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เผื่อแฟนๆ จะได้ฟังเพลงเพราะขึ้นครับ

1. เป็นเพลงที่แต่งในวันวาเลนไทน์ โดยไม่ได้ตั้งใจ

ช่วงที่กำลังแต่งเพลงไม่ได้คิดถึงวันนี้เลย แต่ระหว่างที่กำลังนั่งแต่งเพลงอื่นอยู่นั้น บรรยากาศรอบๆ มีแต่ผู้คนถือดอกไม้ที่มอบให้กัน ตอนแรกนึกว่าเป็นวันรับปริญญาของจุฬาฯ แต่เมื่อเสียงผู้บรรยายของสยามสแควร์ดังว่า สุขสันต์วันวาเลนไทน์สำหรับทุกๆ คน ก็ถึงได้รู้ว่าเป็นวันนี้ เลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นแต่งเพลงที่พูดถึงดอกไม้และความรักแทน

2. เพลงที่กำลังแต่งในวันนั้น ตอนแรกคือเพลง “มาโซคิสม์”

ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย และไม่ได้เหมาะกับวันวาเลนไทน์อย่างยิ่ง ตอนแรกกำลังจะนั่งแต่งเพลงนี้ต่อ เนื้อเพลงมาโซคิสม์ค่อนข้างรุนแรง เป็นโทนมืดหม่น แต่พอเห็นบรรยากาศคิกขุ หวานแหวว ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นแต่งเพลงน่ารักฟรุ้งฟริ้งไปแทน แบบพลิกอารมณ์

3. ร้านที่นั่งแต่งเพลงคือร้านกาแฟ Gloria Jean's สาขา สยามสแควร์ (ตอนนี้เป็นสยามสแควร์วันชั้น 2 นั้นเอง) เพราะบรรยากาศสงบเงียบ ไม่ค่อยมีใครมารบกวนช่วงเวลาที่แต่งเพลง อัลบั้ม daydreamer จะมานั่งแต่งเพลงที่ร้านนี้ตลอด ในช่วงเวลาประมาณ 14:00-16.00 น. เพราะหลังจากนั้นคนจะเริ่มเยอะขึ้น ปัจจุบันร้านนี้ไม่อยู่แล้ว น่าจะกลายเป็นร้านขายอย่างอื่นไปแทนครับ

4. ที่มาของคำว่า "จุ๊บๆ ก่อนนอน"

ในเพลงจะมีท่อนที่แฟนเพลงรุ่นเก่ารับไม่ได้ เพราะคิกขุเกินไป ก็คือคำว่าจุ๊บๆ ก่อนนอน ที่ถือเป็นการขัดใจแฟนเพลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาพลักษณ์ของวงเป็นแนวเพลงแปลกๆ เนื้อหาบ้าๆ มันๆ โหดๆ แต่การที่เขียนท่อนนี้ ตัวผมเองรู้สึกเป็นการฉีกกฎของตัวเอง ในยุคนั้นมีคำที่ดังมากๆ คือคำว่าฟรุ้งฟริ้ง ก็โทนประมาณเดียวกัน แต่ที่มาของคำว่าจุ๊บๆ ก่อนนอนก็คือ ในระหว่างที่เขียนเพลงมาโซคิสม์นั้น นอกจากจะมีเด็กสาวถือดอกไม้เข้ามานั่งเต็มร้านแล้ว โต๊ะตรงกันข้าม กำลังทำท่าจุ๊บใส่กล้องถ่ายเซลฟี่ตัวเอง น่าจะส่งไปให้แฟน อารมณ์ขอบคุณ คิดถึง ประมาณนั้น ก็เลยรู้สึกว่าน่าเล่นกับคำนี้ เลยเอามาใส่ไว้ในเพลง ซึ่งตรงกันข้ามกับคำในเพลงอีกคำคือ “งอนตุ๊บป่อง” ถือเป็นคำโบราณมาก ดังนั้นในเพลงนี้จึงมีทั้งคำวัยรุ่น และคำโบราณผสมกันไปอย่างกลมกล่อม

5. ประโยคเด็ดที่ชอบที่สุด "คนที่เดินตากฝนกันจนวันสุดท้าย ร้องไห้มีความสุขใต้เงาพระจันทร์"

เชื่อว่านักแต่งเพลงทุกคน น่าจะมีประโยคไฮไลต์หรือประโยคเด็ดในแต่ละเพลงที่ตัวเองชอบ เรียกว่าเป็นหัวใจของเพลง เมื่อเวลาที่แต่งเสร็จ แล้วได้ประโยคแบบนี้จะรู้สึกชื่นใจว่าเพลงสำเร็จแล้ว เพลงมีชีวิตชีวา และเพลงนี้ประโยคนี้เป็นประโยคเด็ดสุดที่ตัวเองชอบมาก มันรู้สึกถึงความโรแมนติกแบบอบอุ่นใจ ตอนนั้นนึกไปถึงอารมณ์ค่ำๆ ฝนตกพรำๆ ต้องหนีเข้าไปหลบฝนในตู้โทรศัพท์ที่มีไฟอุ่นๆ โดดเด่นในความมืด ยืนเบียดกัน หัวใจพองโต ผมจะชอบนึกไปถึงตู้โทรศัพท์หน้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ทุกที ไม่รู้เป็นอะไร คงเพราะเป็นตู้โทรศัพท์ที่รู้สึกโรแมนติกมาก สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ต้องเดินผ่านประจำ ประโยคนี้เป็นบรรยากาศที่คนอยากมีความรักใฝ่หา ใครนะจะมาเดินเคียงคู่กันไปยามฝนตก ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันจนวันสุดท้ายของชีวิต เวลาร้องเพลงนี้ทีไรจะนึกถึงประโยคนี้ทุกครั้ง มันซาบซึ้ง ซาบซ่าหัวใจที่แต่งเพลงแบบนี้ได้ รู้สึกอารมณ์ดี คิกคัก

6. ห้องอัดสมัยนั้น สถานที่เก็บตัวจะอยู่ที่สตูดิโอ “กาเนชา” สยามสแควร์

ช่วงเวลานั้น ไปรวมตัวกับ “บอม กาเนชา” ที่เขาเช่าห้องอัดเบเกอรี่เก่า ถือเป็นตำนานที่ตื่นเต้นมากในยุคนั้น สตูดิโอนี้จะอยู่ชั้นบนของร้าน Boots ติดกับเซ็นเตอร์พอยท์เลย เรียกว่าคนยุคนั้นน่าจะคุ้นตากันแน่ๆ แต่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงหนังสยาม ก็หมดสัญญาลง ทำให้สมาชิกเพื่อนทั้งหลายต้องแยกย้ายกันไปหาที่อยู่ใหม่

7. ผู้กำกับ MV คือ คุณจุ๊ ภรรยาของคุณสองมือเบส หรือแฟนของพี่สองนั่นเอง เป็นช่างภาพชื่อดัง ถ่ายภาพให้นิตยสารดังๆ มากมาย ก็ให้เกียรติมาช่วยกำกับ MV ตัวนี้ และถือว่าเป็น MV ที่มีคนรับชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงก็ว่าได้

8. เพลงนี้ถือเป็น Single ที่ดังที่สุดของวง

เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ถ้าพูดถึงซิงเกิลหรือเพลงโปรโมตนั้น บางครั้งคนมักจะเข้าใจว่าเป็นเพลง "ฤดูร้อน" แต่เพลง "ฤดูร้อน" ไม่ใช่ซิงเกิลไม่เคยมี MV ออกมาตอนที่เพลงอยู่ในอัลบั้ม แต่ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจริงๆ ก็คือเพลงนี้ ได้ติดชาร์ตอันดับ 1 และอัลบั้ม daydreamer ถือเป็นอัลบั้มที่ ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง ถ้านับจากสถิติตัวเลขจริงๆ (ไม่ได้นับจากความรู้สึกนะครับ)

9. เพลงคนบนฟ้าทำให้เกิดอัลบั้ม daydreamer

จริงๆ แล้วอัลบั้ม daydreamer ถูกตั้งใจไว้ว่าจะเป็นอัลบั้มพิเศษ รวมเพลงแถม เพลงตกหล่นน่ารักๆ เขียนเล่นๆ แต่งกันเล่นๆ ออกมาคั่นเวลา เพราะช่วงนั้น วงได้ห่างหายจากการทำอัลบั้มค่อนข้างนาน ทางค่าย Genie Records เลยเรียกผมไปคุยว่ามีเพลงอะไรให้ออกมาใหม่บ้างไหม ตอนนั้นสารภาพตามตรงว่าไม่มีเพลงที่เหมาะสมจะทำอัลบั้มจริงจังเลย มีแต่เพลงน่ารัก หวานแหวว เบาๆ ที่แต่งไว้เล่นๆ เพลงที่ดูจริงจังที่สุดก็เห็นจะเป็นเพลงนี้แหละครับ ตอนนั้นก็เอาไปให้พี่นิค บอสใหญ่ของจีนี่ฟัง ไม่ได้คาดหวังอะไร คิดว่าเอาตัวรอดไปวันๆ กะเอามารวมเป็นเพลงอัลบั้มพิเศษก็ได้ แต่ค่ายรู้สึกว่ามันขายได้ ก็เลยได้ออกมาเป็นอัลบั้มเต็ม เนื่องจากระหว่างทาง มีเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง SuckSeed และเพลงอื่นๆ มากมายในช่วงเวลานั้น ก่อกำเนิดตามมาจนครบอัลบั้ม แต่จุดเริ่มต้นที่ได้ทำอัลบั้มจริงๆ ก็คือเพลงนี้แหละครับ

10. ที่มาของตุ๊กตาหมีในโชว์คอนเสิร์ต

จริงๆ แล้วเจตนาแรกที่อยากจะเอามาเล่นในเพลงนี้ คือการโยนดอกไม้ให้กับคนดู ผมเคยไปตามหาที่ร้านดอกไม้ กะว่าจะสั่งเป็นช่อแต่ละคอนเสิร์ตเลย คือโยนช่อดอกไม้จริงๆ ให้กับคนดู แต่การสั่งช่อดอกไม้นั้นราคาแพงมาก อีกทั้งยังเหี่ยวและเน่าได้ง่าย จึงไม่เหมาะกับการเอาไปเล่นคอนเสิร์ต เลยมาคิดต่อว่าจะโยนอะไรให้แทนดี ก็นึกไปถึงสิ่งที่คนได้รับสามารถเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกได้ ผมนึกไปถึงพิธีการที่เจ้าสาวโยนดอกไม้ในงานแต่งงาน อยากให้มีบรรยากาศแบบนั้น คือชวนคนโสดมารอรับดอกไม้ ตอนนั้นก็นึกไปถึงผู้หญิงเป็นหลัก ผู้หญิงโสด ถ้าไม่ใช่ดอกไม้สามารถเป็นอะไรได้อีกในราคาไม่แพงมาก ที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ตลอดไป ก็เลยนึกไปถึงตุ๊กตาหมี เพราะมันยังมีความน่ารักและเป็นตัวแทนของการให้กันได้เหมือนกัน ก็เลยไปตามหาที่ตลาดสำเพ็ง กะว่าราคาถูกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็ยังแพงอยู่ดี แต่เราก็ทดลองซื้อเอามาเล่นตัวหนึ่ง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก หลังจากนั้นก็เลยทุ่มทุนสร้าง ซื้อมาเป็น 100 ตัวเพื่อเอาไว้โยนแจกในเพลงนี้ ถือว่าเป็นจุดขายของเพลงนี้เลยก็ว่าได้ในโชว์คอนเสิร์ต แต่ว่าต้องดวงจริงๆ ถึงจะได้ตุ๊กตาตัวนี้นะครับใครอยากเสี่ยงดวงก็มาลองดูหน้าคอนเสิร์ตได้เลย

ติดตามได้ทางช่องทางอื่นๆ ดังต่อไปนี้จ้ะ

บทความใน  www.sanook.com

IG: tarparadoxs

Line: @paradoxnews

ลิงค์เพจตาต้า(เพจส่วนตัว)

https://m.facebook.com/Tatastudiothailand