ดาวิด ชิโนลา : อัจฉริยะลูกหนังที่ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ต้อนรับ

ดาวิด ชิโนลา : อัจฉริยะลูกหนังที่ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ต้อนรับ

ดาวิด ชิโนลา : อัจฉริยะลูกหนังที่ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ต้อนรับ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้ฝีเท้าจะเก่งกาจเพียงใด แต่ชีวิตในนามทีมชาติ ก็เหมือนเป็นเส้นขนานของศิลปินลูกหนังรายนี้

พรีเมียร์ลีก ถือเป็นลีกที่อุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีมากมาย แข้งชื่อดังหลายคนต่างเคยมาฝากฝีเท้าในลีกแห่งนี้ เช่นเดียวกับ ดาวิด ชิโนลา นักเตะรูปหล่อชาวฝรั่งเศส

เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในสีเสื้อของนิวคาสเซิล ในยุคที่มีเกมรุกสุดตื่นตาตื่นใจ ภายใต้การคุมทัพของ เควิน คีแกน และมีส่วนสำคัญช่วยให้ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ คว้าแชมป์ลีกคัพ โทรฟีแรกในยุคพรีเมียร์ลีก จนได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีทั้งสโมสรและลีกมาแล้ว 

อย่างไรก็ดี ชีวิตในนามทีมชาติของเขากลับตรงกันข้าม ชิโนลา มีโอกาสรับใช้ทีมชาติฝรั่งเศสเพียงแค่ 17 นัด ซึ่งถือว่าน้อยนิด สำหรับฝีเท้าอย่างเขา 

อะไรคือเหตุผลสำคัญกันแน่?

เพชรเม็ดงามแห่งฝรั่งเศส 

มีนักเตะไม่กี่คนที่คู่ควรคำว่า “อัจฉริยะ” และ ดาวิด ชิโนลา ก็คือหนึ่งในนั้น เขาเริ่มต้นสู่เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 18 ปีกับทีม สปอร์ติง ตูลง ที่ตอนนั้นอยู่ในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส 


Photo : Tom Brogan

ชิโนลา เป็นนักเตะที่มีลีลาน่าตื่นตาตื่นใจตั้งแต่วัยรุ่นในตำแหน่งปีก นอกจากความเร็ว และสามารถใช้ได้ทั้งสองเท้า เขายังมีความแข็งแกร่ง ที่นอกจากจะพริ้วหลบ ยังสามารถเบียดกับแนวรับคู่แข่งได้อย่างสบาย 

เขายังเป็นนักเตะที่กล้าเล่น และไม่เคยเกรงกลัว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขา กลายเป็นอาวุธที่ใช้เล่นงานคู่แข่งจนหัวปั่น และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่น่าจับตามอง 

เขาเล่นให้กับตูลงอยู่ 2 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ ราซิง คลับ ปารีส และย้ายไปเล่นให้กับ แบรสต์ ในฤดูกาล 19901991 และที่แห่งนั้น ก็กลายเป็นสโมสรแจ้งเกิดของ ชิโนลาอย่างเต็มตัว 

ในฤดูกาลแรกกับ แบรสต์ เขาก็สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของทีม แข้งเจ้าของหมายเลข 10 จัดการลากเลื้อย ผ่านคู่แข่งได้อย่างเนียนตา จังหวะจ่ายบอล หรือจังหวะพลิกหลบก็ทำได้ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก  

เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับ แบรสต์ หนึ่งในนั้นคือเกมที่ช่วยให้ทีมเอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 3-2 แต่โชคร้ายที่ทีมต้องตกชั้นด้วยปัญหาทางการเงิน ทำให้ เปแอสเช ที่ประทับใจในตัวเขา ตัดสินใจดึงชิโนลามาร่วมทีม ในช่วงกลางซีซัน 1991-92

ชิโนลา ใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับ เปแอสเช ได้อย่างรวดเร็ว ทักษะที่น่าตื่นตาของเขา ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลในถิ่น ปาร์ค เดอ แปรงส์ ในฤดูกาลต่อมา เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ เฟรนช์ คัพและเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ด้วยผลงาน 10 ประตูจาก 49 นัดในทุกรายการ 

อย่างไรก็ดี แม้จะโชว์ฟอร์มได้ดีแค่ไหนทั้งในสีเสื้อของ แบรสต์ หรือเปแอสเช แต่เขากลับไม่ค่อยได้รับโอกาสในนามทีมชาติในสมัยที่ เชราร์ อุลลิเยร์ (ที่ต่อมาได้เป็นกุนซือของลิเวอร์พูล) เป็นผู้กุมบังเหียน และได้ลงรับใช้ทัพตราไก่ไปเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น 

แถมหนึ่งในนั้น ยังทำให้เขาถูกเรียกว่า “ฆาตกรของทีมชาติ” อีกด้วย 

 

ฟุตบอลโลกที่ไม่ได้ไป 

17 พฤศจิกายน 1993 คือวันที่คนฝรั่งเศสทั้งประเทศไม่เคยลืม มันเป็นเกมฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก นัดสุดท้าย ที่พลพรรคตราไก่ เปิด ปาร์ค เดอ แปรงส์ รับการมาเยือนของ บัลแกเรีย 


Photo : sport24.lefigaro.fr

มันคือเกมชี้ชะตาในการผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของทั้งสองทีม สถานการณ์ในวันนั้น ฝรั่งเศสค่อนข้างเป็นต่อ พวกเขามี 13 คะแนนรั้งรองจ่าฝูง ในขณะบัลแกเรีย อยู่อันดับ 3 มี 11 คะแนน ทำให้เกมนี้เจ้าบ้านขอเพียงแค่เสมอ แต่บัลแกเรีย ต้องชนะสถานเดียว 

ในวันนั้น ชิโนลา ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกเรียกเข้ามาติดทีม เขากำลังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับ เปแอสเช แถมหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น เขาเพิ่งจะทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ให้กับทีมชาติฝรั่งเศส ในนัดพ่ายอิสราเอล 2-3 

เริ่มเกมไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง กองเชียร์ 48,000 คนในสนามก็ได้เฮสนั่น จากจังหวะเปิดบอลทางกราบขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษ ฌอง ปิแอร์ ปาแปง โหม่งตั้งไปทางเสาสองให้ เอริค คันโตนา วอลเลย์เต็มข้อ บอลผ่านมือผู้รักษาประตูบัลแกเรียให้ฝรั่งเศสออกนำ 

ทว่าอีก 6 นาทีต่อมา บัลแกเรียก็มาตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว จากลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย และกลายเป็น เอมิล คอสตาดินอฟ ที่ฉีกหนีตัวประกบ ก่อนจะโหม่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสวยงาม ตอนนี้เกมกลับมาเสมอกันแล้ว 

เกมดำเนินไปถึงครึ่งหลัง อุลลิเยร์ ก็ตัดสินใจแก้เกมครั้งแรกในนาทีที่ 68 ช่วงครึ่งหลัง ด้วยการถอด ปาแปง ที่เป็นกองหน้าออก ก่อนจะส่งชิโนลา ที่เป็นปีกลงสนาม นั่นหมายความว่า พวกเขาพอใจกับสกอร์นี้แล้ว 

ฝรั่งเศส ยันเสมอได้จนถึงนาทีที่ 89 ซึ่งหากจบตรงนี้พวกเขาจะผ่านเข้ารอบทันที แถมในช่วงท้ายเกม พวกเขายังได้เปรียบสุดๆ เมื่อได้ฟรีคิกบริเวณมุมธงฝั่งขวา เหลือแค่รอเสียงนกหวีดหมดเวลาจากกรรมการเท่านั้น 

ชิโนลา รับบอลสั้นจากเพื่อนร่วมทีมในฟรีคิกจังหวะนั้น มีคันโตนาอยู่ในกรอบเขตโทษเพียงคนเดียว ทุกคนคิดว่า ชิโนลา จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวดึงเวลาเพื่อให้หมดไป แต่เปล่าเลย...หลังได้บอล เขากลับตัดสินใจครอสมันเข้าไปในกรอบเขตโทษ ที่แทบไม่มีเป้าหมาย...บอลลอยเลยไปไกล 

ลูกครอสของชิโนลาไปถึง เอมิล เครเมนลิเยฟ แบ็คซ้ายของบัลแกเรีย ที่อยู่ตรงนั้น พวกเขามีเวลาไม่มาก จึงรีบลำเลียงบอลขึ้นไปให้เร็วที่สุด บอลไปถึง ลูโบ เปนเยฟ จากนั้นจึงชิพเร็ว ให้คอสตาดินอฟ เบียดกับกองหลังฝรั่งเศส ก่อนจะซัดเต็มข้อที่เสาแรก บอลแสกหน้า แบร์กนา ลามา เช็ดคานเข้าไปอย่างสวยงาม

และนั่นก็แทบจะเป็นจังหวะท้ายๆ ของเกม ก่อนเสียงนกหวีดสุดท้ายจะดังขึ้น บัลแกเรีย บุกมาเอาชนะฝรั่งเศสได้อย่างเหลือเชื่อ 1-2 คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนฝรั่งเศสตกรอบอย่างชอกช้ำ

นักเตะตราไก่ ดูจะช็อคกับเหตุการณ์นี้ โลร็องต์ บล็องค์ ทรุดลงนั่งที่กลางสนาม ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุมหัวราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ลามา เดินไปพร้อมกับส่ายหัวรับไม่ได้ และอีกหลายคนที่ออกจากสนามทั้งน้ำตา 

“พวกฝรั่งเศสดูจะกลัวเรามาก พวกเขาเล่นแบบป๊อดๆ เรารู้ว่าพวกเขาจะมาแบบไหน แทคติกของเรามาจากตรงนั้น” ฮริสโต สตอยคอฟ แข้งทีมชาติบัลแกเรียในวันนั้นกล่าวกับ The Guardian 

“พวกเขาเล่นเพื่อเสมอ และไม่ได้คิดจะเอาชนะ พวกเขาไม่สมควรที่จะได้เข้ารอบ และเราก็ตีตรงที่พวกเขาเจ็บที่สุด” 

และความเจ็บปวดในครั้งนี้ก็ทำให้คนหนึ่งต้องกลายเป็นแพะรับบาป 

 

ก่ออาชญากรรมต่อทีมชาติ? 

“เราทำตัวของเราเอง” ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ หนึ่งในผู้เล่นในเกมระหว่าง ฝรั่งเศสกับบัลแกเรีย กล่าวกับ  The Guardian 


Photo : www.tumblr.com

การตกรอบฟุตบอลโลกของฝรั่งเศส สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ เนื่องจากพวกเขาเพิ่งจะได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 การไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายในครั้งนี้ จึงถือว่า “เสียหน้า” สุดขีด 

แน่นอนว่าทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน แต่ในความเป็นจริง ดาวิด ชิโนลา กลับกลายเป็นคนที่โดนเล่นงานมากที่สุด เนื่องจากเขาไม่ยอมเก็บบอลไว้กับตัว และทำบอลเสียจนนำไปสู่ประตูชัยของบัลแกเรีย 

และเป็นอุลลิเยร์ นายใหญ่ทีมชาติฝรั่งเศส ที่ทำให้กระแสความเกลียดชังต่อ ชิโนลา โหมกระพือไปทั่วฝรั่งเศส เมื่อเขาออกมาต่อว่าลูกทีมอย่างเผ็ดร้อนผ่านโทรทัศน์ ถึงขนาดพูดว่า ชิโนลา คือ อาชญากรต่อวงการฟุตบอลเมืองน้ำหอม 

“มันเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงเกินกว่าจินตนาการได้ เขายิงขีปนาวุธจากนอกโลกเข้ากลางหัวใจของฟุตบอลฝรั่งเศส และก่ออาชญากรรมกับทีม” อุลลิเยร์ กล่าวหลังเกม 

ในตอนแรก อุลลิเยร์ วางแผนจะกลับไปทำทีมต่อ เพราะสัญญาของเขาจะหมดลงหลังสิ้นปี 1994 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ประกาศลาออก โดยสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสแต่งตั้ง เอมเม ฌักเกต์ ผู้ช่วยของเขาขึ้นมารับตำแหน่งแทน การเสียตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติ ทำให้เขาผูกใจเจ็บต่อชิโนลา และยังคงวิจารณ์ชิโนลาผ่านสื่อหลังจากนั้น 


Photo : www.insideworldfootball.com

“การผจญภัยจบลงเร็วเกินไป แค่อีก 30 วินาที แต่เราก็โดนแทงจากข้างหลัง มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ผู้ตัดสินคาบนกหวีดอยู่ในปากตอนที่ชิโนลาเตะฟรีคิกแถวมุมธง แต่หลังจากนั้นเขาก็เตะออกไป และครอสบอลไปไกล 60 เมตร แทนที่จะเก็บบอลเอาไว้ นั่นทำให้บัลแกเรียได้ไปต่อ และลงโทษเราด้วยลูกสวนกลับ” อุลลิเยร์กล่าวในวันประกาศลาออก 

มันก็ทำให้ชิโนลาแทบไม่มีที่ยืน คำพูดของอุลลิเยร์เหมือนเอาน้ำมันมาราดบนกองไฟ เขาถูกเล่นงานจากทุกสนามที่ไป เสียงก่นด่าว่าร้าย หรือเสียงโห่ กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญ 

แต่เขาก็ยังแข็งแกร่ง และพิสูจน์ให้เห็นจากผลงานในสนาม ชิโนลา ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่นหลังจากนั้น เขายิงไปถึง 18 ประตูจาก 49 นัด ช่วยให้เปแอสเช คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือลีกเอิง) สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ในฤดูกาล 1993-94 แถมตัวเขาเองยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส และนักเตะยอดเยี่ยมของลีกในฤดูกาลนั้น

“เกมต่อไปของผมกับ เปแอสเช คือเพียงแค่ 4 วันหลังเกมกับบัลแกเรีย มันเป็นเกมที่บุกไปเยือนตูลูส ผมคือคนสุดท้ายที่ออกจากอุโมงค์ และพวกเขาต้องเล่นงานผมทันที ทุกคนในสนามต่างส่งเสียงโห่ผมและผิวปาก” ชิโนลากล่าวกับ Sky Sports 


Photo : Football and Fabric

“หลังจากนั้น 10 นาที ผมยิงประตูด้วยลูกโหม่ง และร้องไห้เหมือนเด็กๆ ความรู้สึกที่เก็บไว้มันทะลักออกมา ผมจบฤดูกาล ด้วยการถูกโหวตเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส แต่ผมไม่ใช่คนเดิม ผมยังคงไม่ใช่คนเดิมอีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น” 

ชิโนลาก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลต่อไป เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำ ทำให้เขาต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แต่นานวันมันชักจะเลยเถิด และลามไปถึงลูกๆ ของเขา และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขา ตัดสินใจออกจากประเทศฝรั่งเศส 

และที่นั่นก็ทำให้เขาเป็นตำนาน แต่ได้รับอนุญาตแค่ในสโมสรเท่านั้น 

 

นักเตะที่ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ต้อนรับ 

ปี 1995 ชิโนลา ย้ายมาเล่นให้กับ นิวคาสเซิล ด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ มันอาจจะเป็นเรื่องช็อคในตอนนั้น เพราะว่าเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีกกับเปแอสเช และกำลังจะได้ไปเล่นแชมเปียนส์ลีก แต่นี่คือทางที่เขาเลือก ... เพื่อออกจากประเทศที่มีแต่คนเกลียดเขา


Photo : www.dailymail.co.uk

เขากลายเป็นจิกซอว์สำคัญในทีมของเควิน คีแกน ที่ขึ้นชื่อในฟุตบอลสไตล์เกมรุก เขาได้ลงเล่นทางฝั่งซ้ายในระบบ 4-4-2 ที่ทำให้เขาแสดงศักยภาพออกมาได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลากเลื้อย หรือการจ่ายบอลสุดคมให้เพื่อนร่วมทีม 

“ดาวิด ชิโนลา ที่เซ็นมาจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง หลอกแบ็คขวาของคู่ต่อสู้จนหัวปั่น ความเร็วและการเล่นได้ทั้งสองเท้าของเขา ทำให้สามารถรับบอลโดยหันหลังให้ประตู ก่อนจะปั่นเข้าไป เขาสามารถลากบอลตัดเข้าใน และเลี้ยงเลาะริมเส้น เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนได้ทันที” มิชาเอล ค็อกซ์ ผู้แต่งหนังสือ The Mixer กล่าว

เขากลายเป็นนักเตะตัวหลักของนิวคาสเซิล ยิงไป 5 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ ในฤดูกาล 1995-96 ที่ทีมนำเป็นจ่าฝูงด้วยช่องว่างถึง 12 คะแนน แต่สุดท้ายกลับโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย 

และในฤดูกาลต่อมา ชิโนลาและพวกก็ถอนแค้นปีศาจแดงด้วยการเปิดบ้านไล่ถล่มไปอย่างขาดลอย 5-0 ในเดือนตุลาคม 1996 โดยชิโนลา เป็นหนึ่งในผู้ยิงประตูสุดสวยในเกมนั้น 


Photo : www.chroniclelive.co.uk

“เรารู้ถึงความแข็งแกร่งของ แมนยูไนเต็ด แต่เราก็มั่นใจในคุณภาพของเรา เรายิงพวกเขาถึง 5 ประตูที่สุดยอดทั้งนั้น” ชิโนลา ย้อนความหลังกับ The National

ชิโนลาเล่นให้นิวคาสเซิลอยู่ 2 ปี ก่อนจะย้ายไปร่วมทัพ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ในฤดูกาล 1997-98 แม้จะเปลี่ยนสีเสื้อ แต่ผลงานไม่เคยเปลี่ยน เขาระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด ยิง 9 ประตูจาก  40 นัดในทุกรายการ และทำไป 9 แอสซิสต์ในลีก 

และในฤดูกาล 1998-99 ถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ชิโนลา ทั้งยิงทั้งจ่าย ช่วยให้ สเปอร์ส ผงาดคว้าแชมป์ลีกคัพได้สำเร็จ หลังเอาชนะ เลสเตอร์ ได้ในนัดชิงชนะเลิศ และถือเป็นแชมป์รายการแรกของพวกเขาในยุคพรีเมียร์ลีก 

จากผลดังกล่าวทำให้ ชิโนลา ผงาดคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีพรีเมียร์ลีกทั้งสองสถาบัน คือทั้งของ สมาคมนักเตะอาชีพและสมาคมนักข่าวฟุตบอล และเป็นคนแรกที่มาจากทีมที่ไม่ได้จบท็อปโฟร์ (สเปอร์สจบอันดับ 11 ในฤดูกาลดังกล่าว)


Photo : www.skysports.com

อย่างไรก็ดี แม้จะผลงานกับสโมสรได้ดีแค่ไหน แต่ชีวิตในนามทีมชาติของชิโนลา ก็แทบจะกลายเป็นทางขนาน ในตอนแรกที่ ฌักเกต์ ขึ้นมาคุมทีม เขายังถูกเรียกติดอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเกมกระชับมิตร และมีเกมอย่างเป็นทางการประปราย 

ทว่าหลังเกมยูโร 1996 รอบคัดเลือกกับ อาเซอร์ไบจาน ในปี 1995 เส้นทางทีมชาติของเขาก็เหมือนถูกปิดตายลงอย่างสมบูรณ์ เพราะนั่นคือเกมสุดท้าย ในนามทัพตราไก่ของ ชิโนลา และเขาก็ไม่เคยถูกเรียกติดทีมอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

นั่นหมายความว่าในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพและคว้าแชมป์โลก ชิโนลา ต้องกลายเป็นเพียงผู้ชม ทั้งที่เขาโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นที่อังกฤษ ทั้งในสีเสื้อของนิวคาสเซิล และ สเปอร์ส เพราะสำหรับทีมชาติ มันไม่เหลือที่ไว้ให้เขาอีกแล้ว 

“มันเป็นความมหัศจรรย์สำหรับชาวฝรั่งเศส (ที่คว้าแชมป์โลก) แต่ในทางตรงกันข้าม จากมุมส่วนตัวของผม มันเลวร้ายมาก” ชิโนลา กล่าวในหนังสืออัตชีวิประวัติส่วนตัวเมื่อปี 2000

เขายอมรับในความผิดพลาดที่ก่อขึ้นมา แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรับเคราะห์อยู่คนเดียว ในขณะที่หลายคนจากทีมเมื่อปี 1993 ก็ได้เล่นให้กับทีมชาติต่อไปและคว้าแชมป์โลก 

“มันเป็นของฝากที่น่าเศร้าสำหรับผม มันสร้างแรงกระเพื่อมกับอนาคตของผม ในฐานะผู้เล่นของประเทศ นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ผมถึงไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส แต่เพราะส่วนหนึ่งของมัน ผมจะพูดอะไรได้ สิ่งที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป” ชิโนลากล่าวกับ Off The Ball 

“มันเหมือนกับว่าถูกขโมยความฝันในวัยเด็กไป พวกเขาขโมยความฝันของผม (ที่จะไปเล่นฟุตบอลโลก) ง่ายๆ แบบนั้นเลย” 

 

ถึงเวลาต้องสวนกลับ

“ผมกลายเป็นศัตรูอันดับ 1 ของสาธารณชน คนที่สั่งประหารผมคือ เชราร์ อุลลิเยร์” ชิโนลากล่าวกับ  Sky Sports 

“มันเป็นบางสิ่งที่ผมไม่เคยยกโทษให้เขา มันคือความพยายามที่โหดร้ายที่จะทำลายชีวิตของผม และผมก็ชดใช้มันมานับตั้งแต่นั้น” 


Photo : www.planetfootball.com

ชิโนลา ยอมรับว่าเขาคือคนที่ทำให้ฝรั่งเศสไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 1994 และยอมรับในสิ่งที่ทุกคนด่าว่า แต่เขาก็มองว่า คนที่ทำให้ผู้คนจงเกลียดจงชังเขาเกินกว่าเหตุ คือ ชายที่ชื่อว่า เชราร์ อุลลิเยร์

“อาชญากรรมของผมคือครอสบอลโด่งไปหาคันโตนาในเกมนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกกับบัลแกเรียที่ปารีสผิดเป้าหมาย โชคร้ายที่บัลแกเรียเก็บบอลแล้วพาขึ้นหน้า ก่อนจะยิงประตูในช่วงที่แทบจะเป็นจังหวะสุดท้ายของเกม” 

“ตอนที่ เอมิล คอสตาดินอฟ ยิงประตูใน 30 วินาทีสุดท้ายก่อนนกหวีดจะดังขึ้น มันเป็นเหมือนฝันร้าย ผมไม่คิดว่าผมจะเป็นคนที่ถูกตำหนิ ระหว่างทางกลับบ้าน แคโรลิน ภรรยาของผมบอกผมว่า ‘เดวิด ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าพวกเขาจะโยนสิ่งนี้ให้คุณ’”

อุลลิเยร์ คือคนแรกๆ ที่ออกมาตำหนิเขาผ่านสื่อ แถมในวันที่ประกาศลาออก ก็ยังจวกเขาไม่ยั้ง ทำให้ชิโนลา มองว่ามันเป็นตัว “กระตุ้น” ที่ทำให้เกิดกระแสแง่ลบกับเขา จนส่งผลต่ออนาคตในนามทีมชาติ

“การลงโทษถูกส่งมาที่ผมเกินความเป็นจริง มันอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับชีวิตที่เหลืออยู่ของผม มันเป็นอะไรที่คอยหลอกหลอนผมตลอดชีวิต ผมเชื่อว่าถ้ากับคนที่อ่อนแอกว่านี้ มันจะทำลายเขาอย่างแน่นอน” 

“เขาพูดเหมือนกับว่า ‘ดาวิด เป็นฆาตกรของทีม เขาส่งขีปนาวุธจากนอกโลก เข้ากลางใจของฟุตบอลฝรั่งเศส ดาวิดก่ออาชญากรรมกับทีม’ อุลิเยร์เป็นคนทำให้แน่ใจว่าความอัปยศนี้จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต” 

ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2011 อุลลิเยร์ ยังได้ตำหนิชิโนลา ในหนังสือที่ชื่อว่า Secrets de coachs (ความลับของโค้ช) ซึ่งระบุถึงความล้มเหลวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเมื่อปี 1993 และหลายครั้งที่พาดพิงถึงชิโนลา ที่ทำให้เขาตัดสินใจยื่นฟ้องหมิ่นประมาทในปี 2012 แม้สุดท้ายศาลจะไม่รับฟ้องก็ตาม  


Photo : www.football.london

“ถ้าในตอนนั้น อุลิเยร์ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น พวกเขาคงจะไม่พูดกับผมเกี่ยวกับเรื่องนั้นในวันนี้” ชิโนลากล่าวกับ L'Equipe

“มันส่งผลประทบต่อชีวิตส่วนตัวของผม ลูกของผม มันกระทบอะไรมากมาย ผมทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ พอกันที ผมจะเป็นบ้าเพราะมัน ผมจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการทางกฎหมาย”

อย่างไรก็ดี เรื่องราวของชิโนลาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการจะพูดอะไรออกมา ควรคิดให้ดีอย่างถี่ถ้วน เพราะบางทีแค่คำพูดของคนๆหนึ่ง อาจจะทำลายชีวิตของคนอีกคนหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง 

เหมือนที่คนเคยพูดกันว่า “คำบางคำอาจะเปลี่ยนชีวิตของคนบางคนไปตลอดกาล” 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook