วิจารณ์หนัง FOOSBALL จิ๋วแต่แจ๋ว
FOOSBALL เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชั่นเลือดอาร์เจนติน่าที่ได้ทีมงานที่เคยฟูมฟักประสบการณ์มาจากฮอลลีวูด ลายเส้นและการสร้างสรรค์งานภาพของแอนิเมชั่นเรื่องนี้จัดได้ว่าสวยงามไม่ธรรมดา แต่ในขณะเดียวกันบทภาพยนตร์ของเรื่องอาจจะเรียกได้ว่าประสบปัญหาความน่าเชื่อถือของเรื่องพอสมควร แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือหนังเรื่องนี้อุดมไปด้วยมุกตลกที่แทรกอยู่ระหว่างทางตลอดทั้งเรื่อง
ตัวหนังเล่าเรื่องราวของอมาดิโอ้ เด็กชายผู้อาศัยในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเขาทำงานในบาร์และเล่นฟุตบอลโต๊ะได้เก่งกว่าทุกคนในหมู่บ้านเขาแอบหลงรักลอร่า แม้ว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยก็ตามที
กิจวัตรประจำวันที่เรียบง่ายของเขาต้องพังทลายลงเมื่อเอซชายหนุ่มจากหมู่บ้านที่กลายเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลกกลับมายังหมู่บ้านและต้องการจะล้างแค้นสำหรับความพ่ายแพ้ในอดีตที่จากการแข่งฟุตบอลโต๊ะกับอมาดิโอ้
อมาดิโอ้ได้ค้นพบความมหัศจรรย์เมื่อตัวตุ๊กตาจากฟุตบอลโต๊ะที่รักของเขาพูดได้และลุกขึ้นมามีชีวิต พวกมันตั้งใจจะช่วยเหลืออมาดิโอ้ แต่สิ่งแรกที่พวกเขาจะต้องทำคือ ตามหาโต๊ะเกมฟุตบอลที่ถูกนำไปทิ้งและช่วยเหลือบรรดาลูกทีมตุ๊กตาตัวอื่นๆให้ทันเวลา ก่อนที่จะไปช่วยลอร่าจากการจับตัวไปของเอซ
ตัวละครอย่างอมาดีโอ้ เป็นหนึ่งในภาพสะท้อนที่ทำให้คนดูได้เห็นว่าความเก่งกาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จริงอยู่ที่เขาอาจจะเป็นเด็กที่เก่งในเรื่องการแข่งโต๊ะบอล แต่มันกลับไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการ “ยึดติด” ความสำเร็จในวันวานนั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเลย ในโลกปัจจุบันอมาดีโอ้ไม่ต่างอะไรจากไอ้ขี้แพ้
ขณะที่ตัวร้ายของเรื่องอย่างเอซ เขาถูกขับเคลื่อนด้วยความพ่ายแพ้ในอดีต เขาจึงผลักดันตัวเองให้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต ทว่าสิ่งที่เขาหลงลืมไปก็คือการจะเป็นคนที่คนอื่นยกย่องได้นั้นต้องไม่ใช่มาจากการเหยียบหัวผู้อื่นเพื่อไปถึงจุดนั้น และด้วยแผนการที่จะลบภาพความทรงจำแย่ๆที่เป็นรอยด่างพร้อยให้กับชีวิตเขา เอซก็เลือกที่จะทุบเมืองเดิมของตัวเองทิ้งและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่แทน
ครึ่งแรกของหนังผ่านไปด้วยการเล่าเรื่องราวการผจญภัยในการรวมกลุ่มของบรรดาตุ๊กตาในเกมฟุตบอลและการเดินทางไปช่วยลอร่าให้พ้นมือเอซ แต่หนังยังไม่จบแค่ภารกิจทุกอย่างสำเร็จ อมาดีโอ้ยังถูกเอซท้าทายว่าให้เขารวมทีมนักบอลมาเพื่อแข่งกับทีมฟุตบอลระดับโลกของเขาเพื่อแลกกับการกอบกู้หมู่บ้านของอมาดีโอ้เอง
แน่นอนว่าครึ่งหลังของหนังพยายามจะหยิบเอาเรื่อง “มวยรอง” เอามาทำให้คนดูลุ้นและเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมๆกัน แต่ด้วยความหละหลวมของบท ก็ไม่อาจจะทำให้เราเชียร์พวกเขาได้อย่างเต็มใจนัก (ยังไม่รวมไปถึงการโกงแบบเล็กๆน้อยๆที่ตัวเอกจะไม่ทันรู้ตัวอีกต่างหาก) ยังทำให้ผู้ชมตั้งคำถามว่า ถ้าหากอมาดีโอ้คว้าชัยชนะมาแล้ว มันจะเป็นความภูมิใจได้จริงหรือ
แต่หนังก็เลือกบทสรุปที่ทำให้คนดูชวนคิดตาม รวมไปถึงการตั้ง “คำถาม” ของลูกชายอมาดีโอ้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่พ่อของตนเล่าให้เขาฟังนั้นแทบไม่ต่างอะไรจาก “นิทานก่อนนอน” มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
อมาดีโอ้ไม่ตอบอะไร แต่ทุกอย่างก็ล้วนกระจ่างแจ้งเมื่อลูกชายของเขาเห็นทุกอย่างด้วยตาของเขาเอง
@พริตตี้ปลาสลิด
มอบให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน