“ทรัมป์” อวดสัมพันธ์ส่วนตัวแน่นแฟ้นกับผู้นำจีน ช่วยขับเคลื่อนข้อตกลงการค้า
เมื่อวันจันทร์ (3 ธ.ค.) ราคาหุ้นทั้งในเอเชียและยุโรปปรับตัวสูงขึ้นมาก หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลล์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ประกาศความตกลงระหว่างการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา เมื่อวันเสาร์ว่าจะไม่ขึ้นภาษีสินค้าเข้าซึ่งกันและกันเป็นเวลา 90 วัน ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเจรจารายละเอียดเรื่องข้อตกลงการค้า
และในวันจันทร์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวอวดว่า ตนมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างแน่นแฟ้นกับประธานาธิบดีของจีน ทั้งยังประกาศด้วยว่าข้อตกลงเรื่องการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะช่วยให้เกษตรกรอเมริกันขายสินค้าได้มากขึ้นด้วย
โดยวันนี้ราคาหุ้นในสหรัฐฯ ก็ปิดตัวสูงขึ้นกว่า 1% เช่นกัน
เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 335,000 ล้านดอลลาร์ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ เจรจาต่อรองกับจีนจากพื้นฐานที่เข้มแข็ง และว่า เกษตรกรอเมริกันจะได้ประโยชน์อย่างมากมายและรวดเร็วจากข้อตกลงซึ่งจีนจะซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นและโดยทันที
เมื่อค่ำวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังทวีตข้อความด้วยว่า จีนตกลงจะลดและยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 40%
>> จีน-สหรัฐฯ จับมือสงบศึก ระงับขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ 90 วัน
ส่วนในวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของจีนก็แถลงว่า ประธานาธิบดีของจีนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตกลงจะทำงานร่วมกันเพื่อยกเลิกภาษีนำเข้าทั้งหมดด้วย
การพักรบด้านการค้าหรือข้อตกลงจะไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเติมระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนี้ มีขึ้นหลังการทานอาหารค่ำระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นการหารือนอกรอบระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำกลุ่ม G20 ที่อาร์เจนตินา เมื่อสุดสัปดาห์
โดยขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ตกลงจะคงภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าราว 200,000 ล้านดอลลาร์ ให้อยู่ที่ระดับ 10% ต่อไป เป็นเวลา 90 วัน จากวันที่ 1 มกราคม ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของทั้งสองฝ่ายกำลังหารือรายละเอียดสำหรับความตกลงดังกล่าวอยู่
โดยก่อนหน้าการพบปะกันครั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศว่า ตนจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์นี้ จาก 10% เป็น 25%
ในวันจันทร์ ทำเนียบขาวแถลงด้วยว่าจีนตกลงจะซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก แม้จะยังไม่ได้ระบุประเภทและรายละเอียดก็ตาม
และผู้นำทั้งสองตกลงว่าจะเริ่มการหารือเพื่อให้มีความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การลดอุปสรรคกีดกันด้านการค้าในลักษณะที่ไม่ใช่การเก็บภาษี รวมทั้งเรื่องการบุกรุกและการขโมยข้อมูลในระบบไซเบอร์ด้วยเช่นกัน