ยุทธการหงส์สยบปฐพี ตอนที่ 1
[ภาคที่ 1]
ตอนที่ 1 ในนามแห่งจิ้งจอกโลหิต!
แคว้นต้าจิ้น รัชศกต้าเยี่ยปีที่ยี่สิบห้า
ณ สำนักซักล้าง[footnoteRef:1] เมืองเหนือ [1: หมายถึงหน่วยงานซักล้างในวัง มีหน้าที่หลักในการซักเสื้อผ้าคนในวัง โดยทั่วไปเป็นที่ลงทัณฑ์นางในวังที่ทำผิดกฎระเบียบ]
ในห้องมืดอับชื้น เด็กน้อยร่างกายอ่อนแอซูบผอมหน้าตามอมแมมคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น หน้าผากไม่รู้ว่าถูกอะไรตีแตก เลือดสดจากบาดแผลรินรดหญ้าแห้งใต้ร่าง ข้างๆ ไม่ไกลนัก ชายร่างสูงกำยำสองคนกำลังล้อมลงมือกับหญิงสาว
หญิงสาวผู้นั้นอายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าอ่อนแอผอมซูบซีดดูเหม่อลอย ในแววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หยาดน้ำตาใสไหลรินจากหางตาหยดลงบนพื้นไม่หยุด
ชายคนนั้นเห็นสภาพนางเช่นนี้ก็คึกคักตื่นเต้นขึ้นมา “ฮ่าๆ ดูสิ...นี่องค์หญิงใหญ่ของฮ่องเต้แผ่นดินเทียนฉี่เลยนะ”
ชายอีกคนหัวเราะ กล่าวว่า “องค์หญิงใหญ่อะไรกัน ก็แค่ผู้หญิงที่องค์ชายสี่เราไม่ต้องการก็เท่านั้น”
“ว่าไปก็จริง สตรีในสำนักซักล้างคนไหนไม่ใช่องค์หญิงพระสนมกันบ้าง สุดท้ายพวกเราก็ได้เชยชมเล่นไม่ใช่หรือ”
ชายสองคนนี้ก็แค่ทหารยามเฝ้าอยู่นอกสำนักซักล้างแห่งนี้เท่านั้น เพียงแต่ผู้หญิงในสำนักซักล้างนี้ ที่เป่ยจิ้น[footnoteRef:2]ไม่อาจเรียกว่าคน ชาวเป่ยจิ้นยิ่งไม่สนใจความบริสุทธิ์ มักจะมีทหารยามเข้ามาทำมิดีมิร้ายกับหญิงสาวน่าสงสารเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังไม่มีใครสนใจจะควบคุมจัดการ [2: หมายถึงแคว้นต้าจิ้นทางเหนือที่เป็นชาวเผ่ามั่วในช่วงเวลาของเรื่อง เป่ยจิ้นครอบครองเพียงตอนเหนือ ตอนใต้ยังคงอยู่ภายใต้การครอบครองของราชวงศ์เทียนฉี่ ตอนที่ชาวเผ่ามั่วนอกด่านกำแพงเมืองทางเหนือรุกรานเข้าด่านมา ฮ่องเต้เทียนฉี่นำพาเหล่าขุนนางเทียนฉี่หนีการรุกรานจากพวกเผ่ามั่วลงใต้ข้ามแม่น้ำชางหลิงไป แต่ไม่ได้พาเชื้อพระวงศ์หญิงไปด้วย]
หญิงสาวที่น่าสงสารเหล่านี้เดิมเป็นสตรีสูงศักดิ์ วันหนึ่งพอตกต่ำ ที่ปลิดชีพตนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ก็มีไม่น้อย แต่ก็ยังมีคนที่ดิ้นรนมีชีวิตต่อ
หญิงสาวพลันเบิกตาโพลง จ้องมองไปด้านหลังชายสองคน แล้วส่ายหน้าไปมาสุดแรง แต่การกระทำนี้ยิ่งทำให้ชายทั้งสองยิ่งระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างเหิมเกริม พวกเขาไม่กังวลว่าเสียงจะดังเล็ดรอดออกไปด้านนอกแล้วมีคนได้ยินเข้า คนในสำนักซักล้าง แม้มีคนรู้เห็นก็ไม่มีใครสนใจ
อย่านะ! อย่านะ!
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา แววตาอ้อนวอนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมองข้ามไหล่ชายทั้งสองไปด้านหลัง
ด้านหลังพวกเขาไม่ไกลนัก ไม่รู้ว่ามีเด็กหน้าตามอมแมมที่มีเพียงศีรษะโผล่พ้นจากเสื้อผ้าเก่าขาดมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร บาดแผลที่มุมหน้าผากยังมีเลือดไหลซึม สองตาเยียบเย็นไม่เหมือนเด็กน้อยอายุสิบสองสิบสาม ในมือนางยังกำปิ่นไม้ไว้เล่มหนึ่ง เมื่อครู่นางยกมือขึ้นแล้ว แต่พอมองเห็นความตกใจ หวาดกลัวและน่าสงสารในแววตาหญิงสาว จึงเกิดความลังเล ค่อยๆ ลดมือลง
ชายสองคนบนพื้นสมใจหมายแล้วก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าพึงใจ หันกลับไปมองเห็นเด็กตรงหน้าก็อดสะดุ้งไม่ได้ หนึ่งในนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “จะว่าไป ได้ยินว่าเจ้าผีน้อยนี่ก็เป็นองค์หญิงนะ”
เขาพูดพลางเดินเข้าไปหาเด็กสาวผู้นั้น หญิงสาวบนพื้นไม่สนใจสภาพน่าอนาถของตนเอง รีบพุ่งตัวเข้าไปบังนางเอาไว้ด้านหลัง ร่ำไห้ร้องขอว่า “อย่า! ขอร้องพวกเจ้า! นางยังเป็นเด็ก! พวกเจ้ามาหาข้าเถอะ หาข้าเถอะ”
ชายอีกคนมองเด็กสกปรกผู้นั้นด้วยสายตารังเกียจ กล่าวว่า “ช่างเถอะ ได้ยินว่าเจ้าผีน้อยนี่เป็นธิดาคนเล็กของฮ่องเต้เทียนฉี่ วันหน้าพวกองค์ชายย่อมต้องมานำตัวไปแน่ ดูท่าทางก็ยังไร้เนื้อหนัง ไปคว้าสตรีมั่วๆ มาสักคนยังดีกว่านางอีก”
ชายคนที่กล่าวขึ้นคิดไปมาแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจ เจ้าผีน้อยนี่ดูแล้วทั้งเตี้ยทั้งอัปลักษณ์ ยังสกปรกมอมแมมอีก ไร้อารมณ์จริงๆ แม้ว่าสตรีชาวเป่ยจิ้นหน้าตาหยาบช้าเพียงใดก็ดูแล้วยังเป็นสตรี มีความเป็นสตรีมากกว่านางเยอะ
สองคนคุยไปหัวเราะไปพลางจัดเสื้อผ้า ก่อนหันหลังเดินออกจากประตูไป ผู้ใดก็ไม่ทันได้มองมือที่ซ่อนไว้ด้านหลังและปิ่นปักผมในมือของเด็กคนนั้น รวมทั้งจิตสังหารรุนแรงที่ลุกโชนในแววตานาง
พอชายสองคนออกไป หญิงสาวผู้นั้นก็เข่าอ่อนหมดแรงล้มลงกับพื้นทันที เด็กน้อยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งยองลง ประคองนางขึ้นมา ถามขึ้นว่า “ท่านพี่...ไม่เป็นไรใช่ไหม”
หญิงสาวน้ำตาไหลรินไม่หยุด กุมมือเด็กสาวไว้แน่นพลางร่ำไห้ กล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ ควรทำเช่นไรดี เจ้าจะทำเช่นไร พี่เหนื่อยมากแล้ว มีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่...แต่เจ้าจะทำเช่นไร ชีวิตของเจ้านี้จะทำเช่นไร พี่ดูแลเจ้าได้อีกไม่กี่วันแล้ว”
เด็กน้อยเม้มปาก กล่าวว่า “ข้าดูแลตัวเองได้”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ชิงเอ๋อร์ที่น่าสงสาร ทำไมเจ้าต้องเกิดมาด้วย ข้ายังมีชีวิตที่ดีอยู่ระยะหนึ่ง แต่เจ้ากลับเติบโตในสำนักซักล้างนี่แต่เล็ก วันหน้า...วันหน้า...พี่หวังเหลือเกินว่าเจ้าจะไม่เติบโตตลอดไป แต่พี่สาวก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ตอนแรกเสด็จแม่จะปลิดชีวิตเจ้า พี่ทำใจไม่ได้ แต่กลับไม่รู้ว่า...แท้จริงแล้วนี่ดีต่อเจ้า หรือเป็นการทำร้ายเจ้ากันแน่”
“ท่านพี่...ท่านพี่...” เด็กผู้นั้นขยับมุมปาก กุมมือนางไว้ กล่าวว่า “พวกเราจะต้องออกไปได้แน่”
หญิงสาวส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “ออกไปแล้วจะไปที่ไหนได้ ชิงเอ๋อร์ พี่เหนื่อยมากแล้ว...วันหน้าเจ้าต้องพึ่งพาตนเองแล้ว แต่เล็กเจ้าก็เติบโตที่นี่ ควรจะรู้ชะตาชีวิตของคนเช่นพวกเรา หากทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ...ก็สิ้นสุดเถอะนะ
เสด็จย่าสิ้นแล้ว เสด็จแม่ก็สิ้นแล้ว น้องสาวสิบหกเมื่อวานก็ไปแล้ว พวกเรา...ยังจะมีชีวิตต่อไปอีกทำไม”
โลหิตกระอักออกมาริมฝีปากนาง ใบหน้าหญิงสาวค่อยๆ ซีดลง
เด็กน้อยตกใจ “ท่านพี่?! ท่านพี่เป็นอะไรไป”
หญิงสาวมองนางด้วยแววตารักใคร่สงสาร ยกมือขึ้นกุมใบหน้าน้อยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นเบาๆ ใบหน้าหญิงสาวปรากฏรอยยิ้มแห่งการปล่อยวางหลายส่วน “เอาเถอะ...ชิงเอ๋อร์ของข้าต้องเป็นแม่นางที่งามที่สุดในโลก น่าเสียดาย วันหน้าข้าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
“ท่านพี่เข้มแข็งหน่อย พวกเราหนีออกไปได้แน่นอน!” เด็กน้อยกุมข้อมือนางไว้แน่น ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง
ลึกลงไปในแววตาหญิงสาวมีประกายวาบขึ้นบางเบา “ได้ ต้องหนีออกไปได้แน่นอน ชิงเอ๋อร์ หนีออกไปเถอะ”
“ท่านพี่...” เด็กน้อยพลันสองตาแดงก่ำ มองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ค่อยๆ ไร้สัญญาณชีพอย่างหมองเศร้า
หญิงสาวกุมมือนางไว้ ค่อยๆ ล้วงเอาหยกประดับสองชิ้นออกมาด้วยมือสั่นเทา กล่าวว่า “รับไป...หากวันใด เจ้ากลับไปเทียนฉี่ได้ บอกเสด็จพ่อแทนพี่ด้วย...หลิงซี...อยาก...กลับบ้าน...” มือผอมไร้เรี่ยวแรงค่อยๆ ตกลง หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ น้ำตาหยดหนึ่งหยาดหยดออกจากปลายหางตา
เด็กน้อยยื่นมือออกไปคว้าหยกที่ร่วงจากมือหญิงสาวมากำไว้แน่น หยกเนื้อขาวมันแพะชั้นดีที่ไม่ควรปรากฏในที่มืดอับชื้นเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ไม่มีคนรู้ว่านางเก็บซ่อนมาได้อย่างไร หยกสองชิ้นเหมือนกันทุกประการ สลักเป็นรูปวิหคหลวนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เพียงแต่ด้านหลังชิ้นหนึ่งจารชื่อ ‘หลิงซี’ ข้างๆ ยังแกะไว้ว่า ‘ประทานแด่ฝูอีบุตรสาวคนโต’ อีกชิ้นยังว่างเปล่า มีเพียงมุมด้านล่างที่แกะไว้ว่า ‘ประทานแด่ชิงอีบุตรสาวคนเล็ก’
เด็กสาวมองหญิงผู้จรจากอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ประคองใบหน้างดงามของนางเอาไว้ จัดแจงเสื้อผ้านางให้เรียบร้อย จากนั้นก็หยิบหยกขาวสองชิ้นลุกขึ้นเดินออกไป
ในลานด้านหน้ามีสตรีในชุดเก่าขาดกลุ่มหนึ่งกำลังทำงานหนักอย่างไร้ความรู้สึก หญิงสาวเหล่านี้ล้วนร่างกายผอมบาง หน้าตางดงาม เพียงแต่ทำงานหนักมานานจนทำให้พวกนางค่อยๆ สูญเสียความงามในแบบหญิงสาวไปนานแล้ว มีเพียงโครงร่างที่พอจะยังเห็นเค้าความงามหลายส่วนในวันวาน
พวกนางเห็นเด็กสาวที่ออกมาจากด้านใน บางคนเผยแววตาสงสารและเศร้าสลด พวกนางล้วนรู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หลายคนกลับมีแต่ความชินชาและเหม่อลอย
สตรีสองสามคนที่ร่างกายหยาบหนา เห็นชัดว่าหน้าตาต่างจากพวกนาง ยืนมองตรวจสอบอยู่อีกด้าน เห็นนางออกมาก็รีบมองเข้าไปทันที เด็กน้อยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “พี่สาวข้าตายแล้ว”
สตรีหนึ่งในนั้นอึ้งไป จากนั้นก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนักในทันที กล่าวว่า “ตายแล้วก็ตายไป หาคนมาแบกออกไปก็แล้วกัน ที่นี่วันไหนไม่มีคนตาย”
เด็กน้อยกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปทางสตรีที่กล่าววาจาผู้นั้น ก่อนจะเดินออกไป ไม่นานก็มีทหารยามสองคนเข้ามาแบกร่างหญิงสาวออกไป เด็กน้อยรีบตามไปด้วย นางผู้มีหน้าที่ควบคุมงานเห็นดังนี้ก็ร้องเรียกขึ้นทันทีว่า “เจ้าจะไปไหน!”
“ข้าจะไปดูการฝังพี่สาว” สายตาเด็กน้อยฉายแววดึงดันและดื้อดึงอยู่หลายส่วน
หญิงผู้นั้นหัวเราะเยาะ เย้ยว่า “ฝัง? ก็แค่โยนออกไปข้างนอกเลี้ยงหมาป่าก็เท่านั้น ชาวแดนใต้ชั้นต่ำควรค่าแก่การฝังด้วยหรือ”
เด็กสาวจ้องมองนางอย่างดึงดัน หญิงผู้นั้นถูกนางจ้องมองจนอึดอัด อดโบกมืออย่างรำคาญใจไม่ได้ กล่าวว่า “ไปๆ อย่างไรก็ทำงานไม่ได้มากเท่าไร”
เด็กสาวค่อยๆ เบนสายตาไปยังคนที่แบกศพ
ทหารยามสองคนไม่ได้สนใจว่าด้านหลังจะมีเด็กอายุสิบสองสิบสามตามมา นำผ้าขาดๆ มาห่อศพแล้วแบกออกไปอย่างชำนาญงาน
พวกเขาแบกศพผ่านระเบียงทางเดินยาว เดินไปยังลานรกร้างห่างไกล ออกนอกประตูใหญ่ไปก็คือภายนอก ยามนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดรำไร นอกประตูไม่ไกลนักมีหลุมหนึ่ง ศพที่แบกจากสำนักซักล้างออกมา เพียงโยนลงไปข้างในก็พอ
พอสองคนโยนศพลงไปแล้วก็ตบมือไปมาคิดจะหันหลัง คิดไม่ถึงว่ามีแรงมหาศาลผลักจากด้านหลัง หนึ่งในนั้นยืนไม่มั่นก็ร่วงลงไปทันที อีกคนตกใจส่งเสียงร้องดัง หันกลับไป “เจ้า...”
สิ่งของปลายแหลมแทงทะลุลำคอเขา เขาเบิกตามองเด็กน้อยสกปรกมอมแมมด้วยความตื่นกลัว เป็นครั้งแรกที่มองเห็นแววตาคมปลาบและเยียบเย็นของเด็กน้อยผู้นี้ชัดเจน
ยามทั้งสองคนยืนอยู่ขอบหลุม เด็กน้อยยืนอยู่เหนือพวกเขาราวหนึ่งฉื่อ[footnoteRef:3] พอดีที่เด็กน้อยตัวเตี้ยกว่าจึงแทงปิ่นทะลุลำคอเขาได้อย่างเหมาะเจาะ มือน้อยแทงปิ่นออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่สั่นเทาแม้แต่นิด สายตาเย็นเยียบลุ่มลึก ไม่ใช่สายตาเด็กน้อยที่สังหารคนเป็นครั้งแรกจะมีได้อย่างแน่นอน [3: 1 ฉื่อเท่ากับราว 22-23 เซนติเมตร 10 ฉื่อเท่ากับ 1 จั้งหรือราว 3.3 เมตร]
“เจ้า...”
เด็กน้อยเอ่ยขึ้น “ข้านามฉู่หลิง ไปยมโลกแล้วอย่าลืมล่ะ”
ชายผู้นั้นล้มหงายหลังลงไปทันที ร่วงลงไปยังก้นหลุมที่มีศพกองอยู่มากมาย
ชายที่ร่วงลงไปก่อนหน้านี้ยังไม่ทันปีนขึ้นมาก็ถูกศพหนึ่งกระแทกศีรษะ ล้มลงไปอีกครั้งทันที พอเขาลุกขึ้นนั่งได้อีกหน ก็เห็นเด็กน้อยสกปรกมอมแมมด้านบนยกหินก้อนหนึ่งมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ไม่...อย่า...” ชายผู้นั้นมองเด็กน้อยสกปรกมอมแมมอย่างตกใจกลัว
เด็กน้อยเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ทุ่มก้อนหินในมือใส่กระหม่อมชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้นางมองเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสาม หรือน้อยกว่านั้น แต่ความแม่นยำนั้นน่าตื่นตะลึงยิ่ง ระยะห่างสามสี่จั้ง ก้อนหินตกลงบนศีรษะชายหนุ่มพอดิบพอดี โลหิตสาดกระจายในทันที
สังหารไปถึงสองคนในชั่วพริบตา สีหน้าเด็กน้อยยังคงไร้ความรู้สึก มีเพียงแค่ลมหายใจที่หอบอยู่บ้าง ร่างนี้แย่เกินไปสักหน่อย
นางจ้องมองศพหญิงสาวในหลุม กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฉู่...ฝูอี ท่านพี่ ตอนนี้ข้าไม่อาจพาท่านไปจากที่นี่ได้ แต่...ข้าขอสาบานในนามจิ้งจอกโลหิต ต้องมีสักวัน ข้าจะกลับมาพาพี่ไปจากที่นี่”
กล่าวจบ เด็กน้อยก็วิ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว แสงมืดมนอนธการทำให้นางเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับค่ำคืนนี้ หลังจากวิ่งไปได้ราวสองลี้[footnoteRef:4] นางก็เคลื่อนไหวว่องไว กระโดดพุ่งศีรษะลงกลางแม่น้ำไหลเอื่อย [4: 1 ลี้เท่ากับราวครึ่งกิโลเมตร]