สายการบินเอมิเรตส์ โชว์บริการแอร์บัสเอ380

สายการบินเอมิเรตส์ โชว์บริการแอร์บัสเอ380

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
คอลัมน์ รายงานพิเศษ

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ รายงาน

สายการบินเอมิเรตส์ เป็นสายการบินแรก ที่ตัดสินใจนำเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก แอร์บัส A380 บินตรงจากดูไบ มายังจุดหมายปลายทางสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ด้วยเล็งเห็นแล้วว่า เป็นเส้นทางที่มีศักยภาพ เพราะเดิมจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยว ถือได้ว่าค่อนข้างแน่น ดังนั้น การใช้เครื่องบินลำใหญ่กว่า ย่อมได้ประโยชน์มากกว่า ขณะที่ประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไปได้เป็นจำนวนมาก

นายริชาร์ด จิวส์เบอรี่ รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการพาณิชย์ ภูมิภาคตะวันออกไกลและออสตราเลเชีย (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะใกล้เคียงในมหาสมุทรแปซิฟิก) กล่าวไว้ในวันร่วมเดินทางมากับเที่ยวบินแรกของเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่มาถึงกรุงเทพฯ ว่า การเดินทางโดยเครื่องบินจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 18 ปีข้างหน้า

และข้อจำกัดทางสิทธิทางการจราจรและตารางบินจะส่งผลให้เครื่องบิน A380 ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้มากกลายเป็นกุญแจสำคัญในแผนของสายการบินเอมิเรตส์ที่จะสนองตอบความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้โดยสารได้

โดยเราได้สั่งเครื่องบิน A380 จำนวนทั้งสิ้น 58 ลำ และได้วางแผนเป็นอย่างดีในการนำเครื่องบินแต่ละลำมาให้บริการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

หลังจากเปิดให้บริการเครื่องบินแอร์บัส A380 เป็นครั้งแรกในประเทศไทยแล้ว สายการบินเอมิเรตส์ได้นำสื่อมวลชนไทยไปชมเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่ท่าอากาศยานดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างใกล้ชิด

เครื่องบินลำนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นส่วนของผู้โดยสารชั้น 1 ซึ่งมีที่นั่งในห้องสวีตส่วนตัว 14 ห้อง เก้าอี้ปรับเอนราบ และที่พิเศษสุดๆ คือบริการห้องอาบน้ำสปา จำนวน 2 ห้อง และบาร์สำหรับสังสรรค์

ขณะที่ชั้นธุรกิจเบาะที่นั่งแบบ 1-2-1 จำนวน 76 ที่นั่ง ตกแต่งสบายตาด้วยลายไม้ สะดวกสบายเป็นส่วนตัว ที่นั่งปรับเอนนอนได้ยาว 2 เมตร ให้อารมณ์ไม่ต่างจากเตียงนอนที่บ้าน ผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยระบบนวดที่ใช้งานง่าย แค่ปลายนิ้วสัมผัส มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ

รวมถึงมีบาร์ ไว้ให้ผู้โดยสารหลบมาพักผ่อนในบรรยากาศเทียบได้กับค็อกเทลเลานจ์ชั้นดี มีเคาน์เตอร์เครื่องดื่มตรงกลาง ขนาบข้างด้วยโซฟา พร้อมจอแอลซีดีขนาดใหญ่ นำเสนอความบันเทิงตลอดเส้นทาง

ส่วนชั้นประหยัด จำนวนที่นั่งมีทั้งหมด 399 ที่นั่ง ปรับตำแหน่งที่นั่งได้ 33 นิ้ว ปรับเอนได้ 6 นิ้ว เบาะนั่งกว้าง 18 นิ้ว มีหูฟังส่วนตัว ช่องใส่หนังสือ ที่แขวนเสื้อโค้ต และโต๊ะที่สามารถพับเก็บได้

แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในทุกชั้นโดยสาร คือระบบความบันเทิง ไอซ์ (ICE-Information Communication Entertainment) ระบบบันเทิง ที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ที่นำเสนอผ่านจอระบบสัมผัส ในชั้น 1 จอขนาด 23 นิ้ว ชั้นธุรกิจ จอขนาด 17 นิ้ว และชั้นประหยัด จอขนาด 10.6 นิ้ว

โดยมีช่องให้เลือกมากกว่า 1,100 ช่อง แบ่งเป็นวิทยุ 700 ช่อง โทรทัศน์ 100 ช่อง ภาพยนตร์ 190 ช่อง เกมกว่า 100 เกม และยังเรียกดูสถานะการบินในขณะนั้น ผ่านกล้องที่ติดตั้งอยู่บนลำตัวเครื่องบิน 3 จุด เรียกว่าเดินทางไกลแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ

แต่ถ้าหากยังไม่หนำใจ สามารถใช้ระบบ มาย ยูเอสบี เพื่อดูภาพถ่าย หรือเสียงเพลง ที่เก็บใส่แฟรชไดร์ได้อย่างสบาย ผ่านช่องเสียบยูเอสบี หรือจะใช้งานโน้ตบุ๊ก ก็มีช่องเสียบเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มตลอดทาง

สามารถโทรศัพท์หากันระหว่างที่นั่ง หากคนที่ไปด้วยนั่งห่างกัน และหากมีเหตุฉุกเฉินต้องการโทรศัพท์ติดต่อธุระ ทำได้ตรงที่นั่งเลย ด้วยการรูดบัตรเครดิตที่เครื่อง ก็ติดต่อสื่อสารได้ทุกแห่งทั่วโลก

อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบิน สายการบินเอมิเรตส์ มาจากแคเธอริ่งใหญ่ ที่ดูไบ มีเชฟใหญ่ควบคุมการผลิต อาหารนานาชาติ ทั้งคาว หวาน อาหารว่าง รวมถึงเครื่องดื่มต่างๆ ขณะที่ต้องผลิตเพื่อรองรับสายการบินต่างๆ ที่เข้ามายังดูไบกว่า 100 สายการบินอีกด้วย

เชฟ จอห์นนี่ ชู ไว ชาน กล่าวว่า แคเธอริ่งแห่งนี้ถือได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละวันผลิตอาหาร 50,000 มื้อ แบ่งเป็นสำหรับสายการบินเอมิเรตส์ 30,000 มื้อ ต่อวัน และสายการบินอื่นๆ อีก 20,000 มื้อต่อวัน อีกทั้งมีการเปลี่ยนเมนูทุกเดือน เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ

ส่วนการให้บริการภาคพื้นดิน ของสายการบินเอมิเรตส์ ที่ดูไบ สำหรับผู้โดยสารชั้น 1 และชั้นธุรกิจ มีบริเวณพิเศษเฉพาะ แยกออกจากชั้นประหยัด โดยผู้โดยสารเช็กอินได้ 3 แบบ ได้แก่ เช็กอินเอง ผ่านตู้อัตโนมัติ เช็กด่วน สำหรับผู้ที่มีสัมภาระน้อย และเช็กแบบปกติ

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนการเช็กอินปกติ คือการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเข้มงวดมาก ทำให้สบายใจได้

วันนี้ สายการบินเอมิเรตส์ ให้บริการเส้นทางบินอยู่ทั่วโลก โดยมีดูไบเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งมีความได้เปรียบ เพราะไม่ว่าจะเดินทางมาจากทางไหน ก็ใช้เวลาไม่มากนัก

การนำเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก แอร์บัส A380 มาบริการ จึงถือเป็นการเพิ่มศักยภาพ และเติมเต็มเส้นทางที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก อย่างเช่นดูไบ-สุวรรณภูมินั่นเอง

และจุดหมายปลายทางต่อไปคือกรุงโซล ประเทศเกาหลี ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จะเป็นเครื่องบิน A380 ลำแรกของสายการบินเอมิเรตส์ในตอนเหนือของภูมิภาคตะวันออกไกล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook