"Spotlight" ดวงใหม่ของ “บุรินทร์” กับอนาคต Groove Riders ที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ่า, อุ๊ อุ๊ อุ๊ อู่, อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ่า ช่วยพูดว่ารักให้ฟังอีกทีได้ไหม”
ท่อนคอรัสคึกคักชวนขยับแข้งขยับขา กับกรู๊ฟแห่งดนตรีโซลและดิสโก้ในสำเนียงที่เราคุ้นเคยค่อยๆ ไต่ระดับความดังขึ้นตามปลายนิ้วที่เรากดปุ่มสมาร์ทโฟนเพื่อเพิ่มระดับเสียงให้เต็มโสตประสาท ยิ่งเมื่อได้ยินสำเนียงการร้องจากเนื้อเพลงท่อนแรก ใช่เลย… นี่คือเสียงของ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ที่คอดนตรีทุกคนมีภาพจำในสมองว่าเขาคือฟร้อนต์แมนของวง Groove Riders วงดนตรีดิสโก้ฟังค์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากผลงานสตูดิโออัลบั้มทั้งหมด 3 ชุด ไม่ว่าจะเป็น Discovery (ปี 2001), Discovery 2 (ปี 2002) และ The Lift (ปี 2007) แต่ ณ วันนี้ เขาคือศิลปินเดี่ยว ที่เพิ่งปล่อยซิงเกิลเปิดอัลบั้มใหม่ออกมาให้ฟังกันสดๆ ร้อนๆ กับเพลงที่มีชื่อว่า “Spotlight” พร้อมการโยกย้ายสู่บ้าน Muzik Move Records คำถามจึงตามมามากมายว่า โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า จะสิ้นสุดตำนานวง Groove Riders แล้วจริงๆ หรือ หลังจากที่พวกเขาจัดคอนเสิร์ตส่งท้ายอย่าง Last Call for GR007 เมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว
เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (27 มกราคม 2018) ทีมงาน Sanook Music เดินทางไปยังงานแถลงข่าว Burin ‘Spotlight’ Single Premiere ณ ร้าน Route 66 อาร์ซีเอ เพื่อซักถามถึงความน่าสนใจในผลงานใหม่ล่าสุดของ บุรินทร์ ซึ่งในช่วงสัมภาษณ์บนเวทีเราก็ได้รับรู้ว่า เขาได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับสู่อดีต กับกระบวนการทำเพลงแบบอนาล็อก ด้วยระบบการอัดเสียงที่เรียกว่า Reel-to-Reel ซึ่งจะไม่มีการมานั่งอีดิท เจาะท่อนนี้ทีท่อนนั้นที นักดนตรีแต่ละคนเล่นกันยาวๆ แล้วเลือกเทคที่ดีที่สุด พร้อมทั้งขยับจากดิสโก้ในยุค 70s สู่ดนตรีอิเล็กโทรโซลในยุค 80s ไร้ซึ่งเครื่องเป่า แต่มีเสียงสังเคราะห์จากฝีมือมนุษย์ล้วนๆ เข้ามาแทนที่
มากไปกว่านั้น ศิลปินที่มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา อาทิ Nathan East มือเบสระดับพระกาฬที่เคยร่วมงานกับทั้ง Stevie Wonder, Michael Jackson และ Daft Punk มาแล้ว ส่วน Erik Ferguson ก็เป็นมือมาสเตอริ่งที่เคยทำงานกับนักร้องดิว่าอย่าง Tina Turner รวมถึงภาพยนตร์เพลงชื่อดังอย่าง La La Land หรือแม้แต่ Bernie Grundman ซึ่งมิกซ์อัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาลอย่าง Thriller ของ Michael Jackson ในขณะที่มิวสิควิดีโอเพลง “Spotlight” ก็มีรายชื่อของอาร์ตไดเรกเตอร์และแอนิเมเตอร์ชาวเนเธอร์แลนด์อย่าง Frank Knitty ที่เคยผลิตผลงานให้แบรนด์แฟชั่นระดับโลกมากมายมาร่วมสร้างสรรค์
ส่วนฟากฝั่งศิลปินไทย ก็มีทั้ง Cyndi Seui และ อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม มาคลุกคลีทำงานในอัลบั้มชุดนี้ แต่ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือวงใหม่ของ บุรินทร์ ในนาม The Soulsmith (เดอะ โซลสมิธ) ซึ่งนำทีมมาโดย บอล-กันต์ รุจิณรงค์ มือกีตาร์วงอพาร์ตเมนต์คุณป้า, กวิน อินทวงษ์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินไทยมากมาย รวมไปถึง มาตร-มาตรชัย มะกรูดทอง มือกลองฝีมือเยี่ยมแห่ง Groove Riders ซึ่งวงดนตรีวงนี้จะเดินทางออกเวิลด์ทัวร์ไปกับบุรินทร์ภายในปีนี้ สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, อังกฤษ และอีกหลายประเทศคือปลายทางที่ บุรินทร์ วาดหวัง
แต่กระนั้น ความสงสัยที่มีต่ออนาคตของวง Groove Riders ก็ยังค้างคาอยู่ในความรู้สึก แต่ในอีกไม่กี่อึดใจ ชายที่ชื่อ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ภายใต้สูทสีเหลืองมัสตาร์ดก็มานั่งอยู่ตรงหน้า สปอตไลท์ฉายมายังร่างกายของเขาเป็นที่เรียบร้อย และบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น
ขอเริ่มด้วยคำถามตรงๆ ที่หลายคนสงสัยว่า อนาคตของวง Groove Riders จะเป็นเช่นไร กับในวันนี้ที่คุณมาออกผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว?
ยังไม่ทราบเลยครับ เพราะว่าจริงๆ Groove Riders แต่ละคนก็แยกร่างกันไปทำผลงานของตัวเองมานานพอสมควรแล้ว หลังจากคอนเสิร์ต Last Call for GR007 เมื่อปี 2009 เราก็ยังมีทัวร์กันบ้างนิดหน่อย และก็มีเพลงออกมาใหม่แค่ 1-2 เพลงเท่านั้นเอง จริงๆ ทุกคนใน Groove Riders ก็ยังเป็นเพื่อนรักกันอยู่เหมือนเดิม มีโอกาสอะไรก็กลับไปร่วมงานกันได้เสมอ แต่ผมว่าพวกเราโตขึ้น ต่างคนก็มีภาระหน้าที่แตกต่างกัน ทุกคนในวงก็ออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวกันหมดแล้ว ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาทำอัลบั้มเดี่ยว (หัวเราะ) อย่างตอนทำวง The Old School All Stars ตอนนั้นก็เป็นทีมงาน Groove Riders เกือบทั้งหมดนะ แต่อัลบั้มของผมชุดนี้ ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นก็เลยอยากมีสมาชิกใหม่ๆ เข้ามาเพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับคนดู รวมถึงตัวพวกเราเอง
ยังสามารถเรียก บุรินทร์ Groove Riders ได้เหมือนเดิม?
ก็แล้วแต่ครับ ได้หมดถ้าสดชื่น (หัวเราะ)
ไม่แน่ว่า คุณอาจจะกลับไปทำเพลงกับเพื่อนๆ ในนาม Groove Riders อีกครั้งในอนาคตก็เป็นได้?
ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ แต่ได้ข่าวว่า เขากำลังเริ่มเขียนเพลงกันอยู่ ก็ขอให้ทางพี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) เป็นคนออกมาพูดเองดีกว่า ผมแค่ได้ข่าวมา
มาพูดถึงซิงเกิลแรก “Spotlight” ดูเหมือนจะมีแมสเสจบางอย่างที่คุณอยากจะส่งไปถึงแฟนเพลงซ่อนอยู่ในแทบจะทุกท่อน?
เพลงนี้แต่งขึ้นมาเพื่อที่จะมีความสุขร่วมกับแฟนเพลง แต่งมาให้แฟนเพลงจริงๆ เวลาเล่นสดเพลง “Spotlight” นี่จะสนุกมาก เพราะท่อนฮุกมันจำง่าย อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ่า อุ๊ อุ๊ อุ๊ อู่ ช่วยพูดว่ารักให้ฟังอีกทีได้ไหม มันง่ายมาก มีแค่นี้เลย ทุกคนสามารถร้องได้ สามารถร่วมสนุกเวลาเราไปเล่นโชว์ได้
แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของดิสโก้ ฟังกี้ โซล อย่างชัดเจน?
แน่นอนครับ ผมชอบดนตรีโซล ซึ่งเป็นรากฐานของดนตรีดิสโก้ บูกี้ ฟังก์ อัลบั้มชุดนี้วิธีการทำงานจะเปลี่ยนไป เพราะจริงๆ ดิสโก้มันคือยุค 70s แต่คราวนี้มันจะคือยุค 80s ซึ่งจะมีเสียงสังเคราะห์เข้ามา ซินธิไซเซอร์กลายเป็นพระเอกแทนเครื่องเป่า ในอัลบั้มนี้จะไม่ได้ยินเครื่องเป่าเลยครับ ผมทำงานกับเครื่องเป่ามา 17 ปี มันพัฒนาจนคิดว่ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็คิดว่ามันต้องกลายเป็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป
กลายมาเป็นแนวดนตรีที่คุณเรียกว่า “อิเล็กโทรโซล”?
ใช่ครับ ซึ่งผมคิดว่ามีไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่ทำแนวดนตรีนี้ และก็เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ ทำอัลบั้มใหม่ทั้งทีก็อยากจะทำอะไรที่มันเปลี่ยนแปลง แล้วก็โตขึ้น
แล้วอัลบั้มชุดใหม่นี้คุณก็ใช้กระบวนการทำเพลงแบบอนาล็อกด้วย ยากและท้าทายขนาดไหน?
ท้าทายมากๆ เพราะวิธีการทำงานเราเปลี่ยนไปทั้งหมด มันเริ่มจากการทำโปรดักชั่นเลย คืออัลบั้มชุดที่แล้วเวลาจะอัด ผมเข้าไปพร้อมนักดนตรีแล้วอัดแบบสดๆ เลย แต่ครั้งนี้ด้วยเสียงต่างๆ ที่เราอยากจะได้มันจะต้องดีไซน์มาก่อน อย่างเสียงกลองผมดีไซน์อยู่นานมากกว่าจะได้แบบนี้ เอาหมอนใบเล็กก็แล้ว ใบใหญ่ก็แล้วมาเสริมตรงกลองให้ได้เสียงที่แตกต่างออกไป ก็ทดลองกันไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นแบบที่ทุกคนได้ฟังกัน แล้วการทำงานแบบอนาล็อกมันต้องอัดเทคยาว คือห้ามเจาะตรงนั้นตรงนี้ ทุกคนต้องเทคเดียวผ่านหมด ซึ่งมันเป็นอะไรที่ท้าทายและสนุกดี อีกอย่างหนึ่งคือการหาเครื่องไม้เครื่องมือมันยาก เพราะตอนนี้ในเมืองไทยแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว พอหาเครื่องดนตรีได้ การหาบุคคลที่จะมาทำเสียงจากเครื่องดนตรีเหล่านี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะคนที่ทำเสียงทำซาวด์แบบนี้ได้คืออายุ 60-70 ทั้งนั้นแล้ว เตรียมเครื่องมืออยู่เกือบ 6 ชั่วโมง เราเข้าไปอัด 5 นาทีเสร็จ เทคเดียวจบ คือเตรียมงานกันนานมากๆ กว่าจะอัดเครื่องดนตรีได้ชิ้นหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมามันน่าปลื้มใจมากๆ เพราะว่าเสียงที่ได้มามันนุ่มนวล
การอัดเสียงแบบดิจิตัลมันไม่น่าหลงใหลเท่า?
คืออนาล็อกมันจะนุ่มนวลกว่าดิจิตัลแน่นอน ดิจิตัลมันฟังดูแข็งๆ แต่ถามว่าเพราะไหม ก็เพราะเหมือนกัน แต่คนที่ฟังแผ่นเสียง ฟังเทปคาสเสตต์จะรู้ดีว่า สมัยก่อนเราฟังแล้วมันเป็นดนตรีจริงๆ ปัจจุบันมันมีการปรุงแต่งเยอะมากเกินไป แต่คราวนี้ผมจะปรับให้กลับมาเป็นดนตรีจริงๆ อีกครั้งหนึ่ง
การร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง Nathan East, Erik Ferguson และ Bernie Grundman มันเจ๋งแค่ไหนในความคิดของคุณ?
คือในหลายๆ อัลบั้มเราก็เคยทำงานกับศิลปินระดับโลกมาเยอะเหมือนกัน มีระดับตำนานหลายคน แต่ชุดนี้ผมโชคดีมากๆ ที่ได้เจอกับบุคคลเหล่านี้ ผมว่ามันเป็นเหมือนพรหมลิขิตนะ ตอนแรกผมเลือกมาเลยว่าอยากจะได้ใครมาร่วมงานบ้าง สุดท้ายก็ได้ร่วมงานกับพวกเขาจริงๆ ที่ไม่ได้ก็มีเหมือนกัน อย่าง Nile Rodgers มือกีตาร์วง Chic ที่เพิ่งมาทำเพลงกับ Daft Punk อยากได้มาก แต่แพงมาก (หัวเราะ) สู้ราคาไม่ไหว ก็เลยเป็น บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า แทน (หัวเราะ) ฝีมือก็ไม่แพ้กัน สนุกเหมือนกัน
ซึ่งคุณบอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ก็ร่วมงานกับคุณมาตั้งแต่ทำวง The Old School All Stars ด้วยกัน?
ใช่ครับ ซึ่งผมกับพี่บอลเป็นเพื่อนรักกัน เรียนหนังสือด้วยกัน ชอบดนตรีแบบเดียวกัน แลกเปลี่ยนดนตรีกันมาตลอดชีวิต สนิทกันมากๆ ตอนกลับมาจากเมืองนอก ผมก็ไปทำ Groove Riders พี่บอลแยกไปทำ อพาร์ตเมนต์คุณป้า แต่สุดท้ายก็ได้มาเจอกันอยู่ดี
แฟนๆ จะได้ฟังอัลบั้มเต็มกันเมื่อไหร่?
น่าจะเป็นปี 2019 ส่วนปีนี้จะปล่อยให้ฟังประมาณ 3-4 เพลง ซึ่งอัลบั้มนี้คอนเซ็ปต์แข็งแรงมาก คือน้อยชิ้น แบบ “less is more” หลายๆ เพลงจะเป็นนีโอโซลด้วย อยู่บนรากฐานของดนตรีโซลทั้งหมด แต่ชื่ออัลบั้มยังไม่บอกนะ ไว้บอกใกล้ๆ เดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น (หัวเราะ)
บนเวทีแถลงข่าวเมื่อสักครู่นี้เห็นบอกว่าจะมีเวิลด์ทัวร์ด้วย?
จริงๆ เมื่อก่อนก็มีไปเล่นที่ต่างประเทศนะ แต่ไม่ได้ทำเป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน ทุกๆ 2 ปีผมจะไปเล่นที่อเมริกา ออสเตรเลียก็ไปบ่อย แต่ครั้งนี้จะไปพร้อมคอนเซ็ปต์ที่แข็งแรง ทั้งเรื่องวิชวล เรื่องเพลง ทุกสิ่งที่ได้เห็นในงานแถลงข่าววันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวของผมมานาน สุดท้ายมันได้รับการถ่ายทอดออกมาให้กับผู้บริโภคได้เห็น ผมมีความสุขมากๆ
คล้ายกับเวิลด์ทัวร์ของศิลปินต่างประเทศที่เป็นวิชวลเซ็ตเดียวกัน รวมถึงนักดนตรีที่ออกเดินทางไปด้วยกัน?
ใช่ครับ เราอยากทำแบบนั้น อยากทำให้มันชัดเจน และโปรดักชั่นใหญ่ๆ
คาดหวังอะไรกับการกลับมาทำอัลบั้มเต็มในฐานะศิลปินเดี่ยวในครั้งนี้บ้าง?
ผมไม่เคยคาดหวังอะไรทั้งสิ้นเวลาทำงานดนตรี ผมว่ามันเป็นศิลปะ ผมทำเพราะความรัก ผมไม่เคยคาดหวังว่าผมจะต้องรวยจากการมาเป็นศิลปิน
หลายคนมองว่าคุณรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องมาเดินทางไปไหนต่อไหน เล่นดนตรี นอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้?
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวหรอก อย่างที่บอกว่าเรารักเสียงดนตรี มันเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้ ดนตรีคือปัจจัยอีกอย่างในชีวิตผม ถ้าไม่มีดนตรีผมว่าผมไม่มีความสุข ผมไม่สนหรอกว่าจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังหรืออะไร ผมทำเพราะความรักมาตลอด ถ้าทำแล้วรวยคงไม่ทำโปรดักชั่นใหญ่ขนาดนี้หรอก (หัวเราะ)
อยากให้ฝากถึงคนไทยที่อาจจะยังไม่รู้จักดนตรีโซลมากนัก
จริงๆ ดนตรีโซลมันอยู่กับพวกเรามาตั้งนานแล้ว เราแค่ไม่รู้ตัวกันเอง อย่างเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ เพลงของศิลปินค่ายเบเกอรี่ มิวสิค หลายๆ คน หรือแม้กระทั่งวงอย่าง Crescendo, Soul After Six, ETC. นี่คือโซลทั้งหมด เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยได้สื่อสารกันว่าดนตรีแนวนี้มันคืออะไรเท่านั้นเอง อย่าง Grand Ex' นี่ก็โซล อยู่กับเรามาตั้ง 40-50 ปีแล้ว คือดนตรีโซลเป็นดนตรีที่ออกมาจากจิตวิญญาณ ถ่ายทอดด้วยความรู้สึก… อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นผมไม่ได้มองว่าดนตรีโซลฟังยากอะไรเลย มันเป็นเพลงที่เพราะ เศร้าก็เศร้าจริง สนุกก็สนุกจริง รักก็รักจริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่ดนตรีกระแสหลัก ซึ่งดนตรีกระแสหลักในบ้านเราคือดนตรีร็อก ถึงท่อนฮุกต้องยกมือขวาขึ้นมา เต้นแบบร็อกก็ง่ายเพราะกระโดดกันไปเรื่อยๆ เต้นแบบโซลอาจจะต้องมีมูฟเม้นท์หน่อย แต่ท้ายที่สุด ไม่ต้องคิดมากครับ รู้สึกอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น … นั่นคือโซล
Story by: Chanon B.
Photos by: Sanook Music & Muzik Move Records
อัลบั้มภาพ 67 ภาพ