ข่าวดี คลังไฟเขียวภาษี "รถโบราณ" ฉบับใหม่ เอื้อการอนุรักษ์และสร้างรายได้

ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบรถเก่า เมื่อราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับ "รถยนต์โบราณ" อย่างเป็นทางการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นข่าวดีที่ช่วยกำหนดทิศทางของวงการให้ชัดเจน พร้อมส่งเสริมนโยบายการอนุรักษ์ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับช่างฝีมือไทย

สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้คือการกำหนดพิกัดภาษีพิเศษสำหรับรถโบราณ เพื่อแยกออกจากรถยนต์ทั่วไปอย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

 

เงื่อนไขสำหรับ "ภาษีอัตราพิเศษ 45%" 

เพื่อให้การนำเข้ารถโบราณเป็นไปเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง จึงได้กำหนดคุณสมบัติของรถที่จะได้รับสิทธิ์เสียภาษีในอัตรา 45% ไว้ดังนี้

• ประเภทรถ: ครอบคลุมรถยนต์นั่ง, รถสเตชันแวกอน, รถโดยสารไม่เกิน 10 คน และรถแข่ง (ไม่รวมรถกระบะและรถจักรยานยนต์)
• อายุรถ: ต้องมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100 ปี (รถที่อายุเกิน 100 ปี จะถูกจัดเป็นวัตถุโบราณ)
• การนำเข้า: ต้องเป็นการนำเข้าทั้งคัน (CBU) พร้อมมีเอกสารรับรองที่ถูกต้อง
• มูลค่าขั้นต่ำ: รถต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท
• สิทธิพิเศษเพื่อช่างไทย: หากนำเข้ารถมาเพื่อบูรณะในประเทศ และส่งออกภายใน 2 ปี จะได้รับสิทธิ์คืนภาษีสรรพสามิตเต็มจำนวน ซึ่งเป็นการสนับสนุนฝีมือช่างไทยสู่ระดับสากลโดยตรง

สำหรับรถยนต์ที่ไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 50%

 

ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่คือการวางรากฐานทั้งระบบ

การประกาศครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงกรมสรรพสามิตเท่านั้น แต่เป็นผลจากการทำงานร่วมกันของ 6 หน่วยงานภาครัฐ เพื่อวางกรอบและสนับสนุนวงการรถโบราณอย่างครบวงจร

• กรมการค้าต่างประเทศ: ออกประกาศอนุญาตให้นำเข้ารถโบราณได้อย่างเป็นทางการ
• กรมศุลกากร: เตรียมลดและยกเว้นอากรศุลกากรตามอายุของรถ
• กรมควบคุมมลพิษ: ทบทวนเกณฑ์ไอเสียและกำหนดวันใช้งาน เพื่อให้รถโบราณสามารถวิ่งได้โดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
• กรมการขนส่งทางบก: กำหนดนิยาม "รถโบราณ" ให้ชัดเจน และเตรียมออก "ป้ายทะเบียนพิเศษ" พื้นสีดำตัวอักษรสีขาว สำหรับรถกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ: กำหนดให้รถโบราณสามารถวิ่งบนท้องถนนได้ในวันเสาร์-อาทิตย์, วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ

นโยบายใหม่นี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับวงการรถโบราณในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในแง่ของการอนุรักษ์มรดกยานยนต์, การสร้างงานให้ช่างฝีมือ, การจัดเก็บภาษีที่เป็นระบบ และการดึงดูดนักสะสมจากทั่วโลกให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น