Review : สกินแคร์สำหรับสาวผิวมันที่ถูกพูดถึงมากที่สุดตอนนี้ Yves Rocher Sebo Vegetal
Review : สกินแคร์สำหรับสาวผิวมันที่ถูกพูดถึงมากที่สุดตอนนี้ Yves Rocher Sebo Vegetal
ช่วงนี้บอกเลย ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง Sebo Vegetal
สกินแคร์ตัวใหม่ล่าสุดจาก Yves Rocher
ที่เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสาวผิวมัน ผิวทีโซน มีปัญหาเรื่องรูขุมขน ตัวนี้จะเข้าไปจัดการความมันบนใบหน้าและช่วยกระชับ รูขุมขน ทำให้หน้าไม่มัน ไม่หมอง อีกต่อไป
สาวๆที่มีปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา เซ็ทนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ มาดูรีวิวกันเลยดีกว่า เริ่มจาก
มารู้จักตัว Sebo Vegetal นี้กันก่อน ว่ามันคืออะไร แล้วจะกำจัดความมันได้อย่างไร
- พูดถึง Yves Rocher แล้ว ก็นึกถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติที่ไว้ใจเสมอ แน่นอนว่าตัวSebo Vegetal ก็มาจากธรรมชาติ มีส่วนผสมหลักเป็น Baikal Powder ซึ่งเป็นสารสกัดจากรากของSkullcap ช่วยลดและควบคุมความมัน ผิวจึงสะอาดขึ้น ผิวหายใจได้สะดวกขึ้น ปรับผิวให้มีความสมดุลระหว่างน้ำาและน้ำามัน ผิวจึงเนียนละเอียดขึ้น ไม่มัน แต่ก็ไม่ทาให้แห้งขาดน้ำ เมื่อผิวสมดุล สิวอุดตันก็จะหายไปค่ะ
ชุด Sebo Vegetal ชุดนี้ประกอบไปด้วย
Purifying Cleansing Gel 125ml ราคา 420 บาท
Purifying Micellar Water 2in1 200ml ราคา 420 บาท
Purifying Scrub 75ml ราคา 450 บาท
Purity Mask 75ml ราคา 450 บาท
Matifying Gel Cream 50ml ราคา 490 บาท
Zero Blemish Gel Creme 50ml ราคา 490 บาท
Pore Minimizing Serum 30ml ราคา 750 บาท
มาดูตัวแรกกันค่ะ เริ่มจาก ทำความสะอาดผิวหน้ากันก่อนด้วย
Purifying Cleansing Gel
ผลิตภัณฑ์แบบเจล ทำความสะอาดผิวหน้า ที่มีน้ำสกัดจากออร์แกนิค คอร์นฟลาวเวอร์" เป็นสารสกัดที่อ่อนโยนช่วยปลอบประโลมผิวและแพคเกจแบบใสก็ยิ่งทำให้น่าใช้ขึ้นด้วย
มาลองดูเนื้อเจลกัน
- เป็นเนื้อเจลใส นุ่ม ไม่หนืด
- ลองผสมน้ำถูลงบนผิว ไม่มีฟอง นุ่มลื่น
เมื่อลองล้างกับผิวหน้าที่ไม่มีเครื่องสำอาง แต่มีความมันจากโลชั่นทาผิวอยู่
โดยแบ่งฝั่ง
- ครึ่งซ้ายคือฝั่งที่ไม่ได้ใช้เจลล้าง
- ด้านขวาเป็นด้านที่ใช้เจลล้าง
ผลคือด้านที่ใช้เจลล้างหน้า สะอาดสดใสขึ้นทันที รู้สึกไม่มัน น้ำมันถูกคลีนออกหมดจด
แต่ไม่ตึง และชุ่มชื้นผิวเล็กๆค่ะ
เมื่อล้างหน้าสะอาดใสแล้วต่อด้วยสครับ
Purifying Scrub
เป็นการผลัดผิวด้วยการขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน และเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไปอย่างอ่อนโยน เพื่อให้ผิวสะอาด สดใส และนุ่มนวล
สครับตัวนี้มีส่วนผสมหลักๆคือ ที่เห็นเป็นเม็ดๆคือ "แอพริคอตซีด พาวเดอร์" ที่ช่วยขัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพแล้วให้ออกไปอย่างอ่อนโยน "กรดซาลิไซลิค" ที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ลดการอุดตัน พร้อมยังช่วยยับยั้งแบคทีเรีย อีกส่วนผสมที่สำคัญ คือ "ซิงค์กลูโคเนท" ซึ่งจะลดการอุดตันของต่อมไขมัน พร้อมช่วยลดร่องรอยจากการแกะสิว และสุดท้าย ตัวช่วยที่จะทำให้ผิวยังคงความนุ่ม ชุ่มชื่น คือส่วนผสมจาก “โคโค่นัท ออย”
สัมผัสแรกจากครีมสครับตัวนี้คือ ความนุ่มของครีม ปาดลงไปกับผิวคือเห็นเม็ดสครับชัดเจน
เมื่อลองถูเบาๆกับผิวหน้าที่เปียก รู้สึกว่า โอเคเลย นุ่มและไม่บาดผิว แต่รู้สึกถึงการขัดผิวเบาๆ
เมื่อล้างออกด้วยน้ำสะอาด ก็รู้สึกว่าผิวนุ่มมากๆ สะอาดกว่าปกติ ตัวนี้ใช้แค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็โอเคแล้ว
และเมื่อสครับหน้าสะอาด ผลัดเซลล์ผิวเก่าเรียบร้อย
การมาส์กหน้าก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ ในการบำรุงผิว กับ Purity Mask
ทำหน้าที่เหมือนการปลอบประโลมผิวหลังจากการสครับหน้า
คุณสมบัติของมาส์กตัวนี้คือ ช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินจากรูขุมขน ลดปัญหาการอุดตันของผิว
เมื่อลองสัมผัสตัวเนื้อมาส์กเป็นครีมเข้มข้น มีส่วนผสมจาก "โคลนดินขาว" หรือ "เค-อะลิน" ซึ่งช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกิน “กรดซาลิไซลิค” ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวลดการอุดตัน
ทามาส์กบนหน้าเปียกหมาดๆ สัก 10 นาที จะรู้สึกถึงความแข็งตัวของเนื้อครีม
เปลี่ยนเป็นผงแป้งที่ดูดซับน้ำมันส่วนเกินจากผิวหน้า พอล้างออกคือ ไม่ได้เหมือนมาส์กทั่วไป
ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังรู้สึกสะอาดลึกถึงรูขุมขนด้วย ผิวก็นุ่มขึ้นมานิดนึง
ขั้นตอนต่อไป คือการเตรียมผิวสู่การบำรุง กับ
Purifying Micellar Water 2-in-1
สำหรับตัวนี้ที่ได้ชื่อว่า 2-in-1 เพราะสามารถเป็นได้ทั้ง Cleanser เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางก่อนล้างหน้าและใช้เป็น Toner เพื่อปรับสภาพผิว ในขั้นต่อไป
ลองหยดโทนเนอร์ตัวนี้ประมาณ 2-3 หยด บนสำลี แล้วเช็ดบนผิวหน้า เทียบให้ดู ก่อน –หลัง
- ผิวก่อนใช้คือผิวหน้ามีน้ำมันอยู่พอสมควร
- หลังทำความสะอาดผิวด้วยโทนเนอร์แล้ว รู้สึกสดชื่นทันที เหมือนเอาคราบสกปรกที่ตกค้างออกไปด้วย
มาดูตัวที่ใช้สำหรับการบำรุงผิวกันบ้างค่ะ เริ่มจากตัวแรก
Pore Minimizing Serum
เซรั่มสูตรเข้มข้น สำหรับลดความมัน ลดการอุดตัน กระชับรูขุมขน
มีส่วนผสมของ "อะโฟย่า" ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีความร้อน "ซิงค์กลูโคเนท" ที่ช่วยลดปัญหาการอุดตันของต่อมไขมันและช่วยลดร่องรอยจากการแกะสิว และที่สำคัญมี "กรดมาลิก" ที่เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน และช่วยเติมเต็มร่องรอยบนใบหน้าของเราให้เรียบเนียนสวย
เนื้อเซรั่มตัวนี้จุดเด่นคือความบางเบามากๆและซึมสู่ผิวง่าย ไม่ต้องห่วงเรื่องความมันเลย ทาตอนเช้านี่ไม่ต้องห่วงเรื่องการแต่งหน้าว่าจะมัน เป็นคราบ เพราะเนื้อเซรั่มซึมลงผิวเร็วมาก และมีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย กลิ่นแบบธรรมชาติน่าใช้มาก
มาถึงตัวนี้ โดดเด่นมาก
Matifying Gel Cream
คุณสมบัติเด่นของตัวนี้เลยคือ ช่วยต่อต้านความมันเงาได้ 24 ชม. โอ้โห คุณสมบัติชัดเจนมากๆ ยังไม่ค่อยเจอสกินแคร์ตัวไหนที่มีคุณสมบัติชัดเจนขนาดนี้ นอกจากช่วยยับยั้งความมันเงาแล้วยังช่วยให้เครื่องสำอางติดทนไปทั้งวันด้วย
ตัวนี้มีส่วนผสมจาก “ซิลิก้า “ ที่ช่วยดูดซับความมัน แต่ยังคงความชุ่มชื้นและ เสริมการทำงานของกระบวนการสร้างสารสำคัญในผิวชั้นหนังแท้
สำหรับชิ้นนี้จะรู้สึกได้ว่ามีส่วนผสมที่เป็นครีมเจลเยอะ เพราะซึมสู่ผิวได้รวดเร็วกว่า
ไม่ทิ้งความมันไว้แน่นอน
ตัวนี้เลือกทาแค่ช่วง ทีโซน หรือทาทั้งหน้าก็ได้ ที่ชอบคือลดความมันเงาของผิวหน้าได้จริง ไม่ต้องตบแป้งบ่อย
สุดท้ายกับ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในเซทนี้ กับ
Zero Blemish Gel Cream
เป็นกระปุกครีมแน่นๆ ที่ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับผิวให้เรียบเนียน และทำให้ผิวชุ่มชื้น 24 ชม.
ส่วนใหญ่สกินแคร์ที่เป็นเจลครีมที่รู้จักจะช่วยเติมน้ำให้ผิวเพียงอย่างเดียว
แต่ตัวนี้คือครบ กระชับรูขุมขน ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และคงความชุ่มชื้นให้ผิว
และที่สำคัญคือช่วยยั้งแบคทีเรีย ลดโอกาสการอุดตันของผิวด้วย
ตัวเนื้อครีมเป็นครีมเข้มข้นที่รู้สึกบางเบา ไม่ได้เข้มข้นเหนียวแน่นเหมือน Night Cream ซะทีเดียว
คือใช้ตอนไหนก็ได้ ไม่ได้หนักหน้า แต่จะรู้สึกชุ่มชื้นกว่าเดิม เหมาะสำหรับการบำรุงผิวแบบเต็มที่
และชอบการดูแลครบครันในกระปุกเดียว ตัวนี้ก็เยี่ยมเลย สำหรับสาวที่มีปัญหาผิวมันและอื่นๆ
ดังข้างต้นที่กล่าวมา
มาลองเทียบผิวดู ระหว่าง Before-After หลังจากที่ใช้มาเป็นระยะเวลา 1 เดือน
สภาพผิวก่อนใช้
- ค่อนข้างมันในช่วงทีโซน ผิวแห้งบริเวณใต้ตา และแก้ม
- รูขุมขนกว้าง ไม่กระชับ
- ไม่มีสิว แต่มีผดอุดตันช่วงข้างๆแก้มเล็กน้อย
-
สภาพผิวหลังใช้
- ผิวมันน้อยลง ช่วงทีโซน แต่งหน้าแล้วไม่เป็นคราบ
- รูขุมขนกระชับขึ้นมาก รู้สึกผิวลื่น แต่งหน้าง่ายขึ้น
- ผดอุดตันลดลงมากๆ ทำให้หน้าดูใสขึ้นกว่าเดิม รอยแดงลดลง
สามารถอ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในลิ้งค์นี้ได้เลยค่ะ
ฝากแฟนเพจ Tahithi Blog ด้วยค่ะ