แสนสิริ โชว์ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กร Made for Life…Made for Everyone

แสนสิริ โชว์ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กร Made for Life…Made for Everyone

แสนสิริ โชว์ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กร Made for Life…Made for Everyone
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยย้ำภาพแบรนด์ที่ลูกค้าเชื่อมั่น ประกาศความสำเร็จปี 62 ด้วยยอดรับรู้รายได้ 26,300 ล้านบาทกำไร 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% พร้อมเดินเกมส์รุกตลาดปี 63 ด้วยยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone” โดยวางพันธกิจเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” ส่ง 5 แบรนด์คุณภาพเซกเมนต์ Medium และ Affordable ตอบรับ Real Demand อาทิ ‘ดีคอนโด’ –  ‘เดอะเบส’ – ‘สิริ เพลส’ – ‘อณาสิริ’ – ‘สราญสิริ’ ด้วย 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมี่ยม ด้วยโครงการพร้อมอยู่ระดับลักซ์ชัวรี่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection ทั้งนี้ วางเป้าพรีเซลปี 63 สอดรับพันธกิจ 29,000 ล้านบาท เติบโต 40% และเป้าหมายยอดโอน 33,000 ล้านบาท ระบุเตรียมขยายแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการขยายฐานลูกค้า ”LIV-24” ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ออกสู่โครงการที่บริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ทั่วประเทศ

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิริมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากลูกค้า หรือ “TRUST” ในด้านดีไซน์ คุณภาพ บริการ และแบรนด์ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อปรับแผนธุรกิจให้สอดรับ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ จากภาพรวมความต้องการที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา มีดีมานด์ในตลาด Real Demand โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ แสนสิริจึงได้รุกตลาดโดยการวางเป้าหมายสำคัญในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบ ส่งผลให้ แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดขาย 21,000 ล้านบาท ยอดโอน 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ที่ 26,300 ล้านบาท และกำไร 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20%  

“ยอดขายกว่า 62% ของปี 2562 มาจากความสำเร็จของยอดขายแนวราบในปีที่ผ่านมา อาทิ แบรนด์ทาวน์โฮม ‘สิริ เพลส’, แบรนด์บ้านเดี่ยว ‘บุราสิริ’, ‘คณาสิริ’ ราชพฤกษ์-346 และ ‘เศรษฐสิริ’ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า 2 ขณะที่กลุ่มคอนโดมิเนียม ได้รับการตอบรับที่ดีจากการโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอน อาทิ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101,  เดอะ ไลน์ พหล-ประดิพัทธ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์, ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต และดีคอนโด หาดใหญ่ นอกจากนี้ แสนสิริยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการคุณภาพด้วยมาตรฐานการก่อสร้าง วัสดุที่เลือกใช้ และนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งทำให้แบรนด์ และโปรเจกต์ต่างๆ ที่นำเสนอมีความแข็งแกร่ง และมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจต่อกลุ่มลูกค้าตลอดมา และประสบความสำเร็จด้านผลประกอบการในปี 2562”

สำหรับในปี 2563 แสนสิริได้วางเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และAffordable เป็นหลัก เพื่อให้ แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย ขณะเดียวกันก็ขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury และ Super Luxury ด้วยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้านแสนสิริ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 29,000 ล้านบาทในปี 2563 เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 33,000 ล้านบาท นอกจากนี้ แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี อีกถึง 47,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยความเข้าใจ Customer Insights และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอดระยะเวลากว่า 36 ปี  ในปีนี้ แสนสิริได้เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้วยการวางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone

เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้”  รวมทั้งมุ่งมั่นมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่มากกว่าภายใต้แนวคิดบ้านที่ได้มากกว่าบ้าน โดยได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย โฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ ‘ดีคอนโด’ - ‘เดอะเบส’ - ‘สิริ เพลส’ - ‘อณาสิริ’ - ‘สราญสิริ’ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่าน Community ใกล้เมืองในราคาเข้าถึงง่าย อาทิ แผนเตรียมเปิดตัว ดีคอนโด รามคำแหง 40 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้มในเดือนพฤษภาคมนี้  ตลอดจนจะรุกพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ๆ ที่ แสนสิริยังไม่เคยพัฒนาโครงการมาก่อน อาทิ การบุกทำเลย่านสุวรรณภูมิด้วยสราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ ขณะที่ในส่วนคอนโดมิเนียม แสนสิริมีการเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ถึง 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซ ศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที  ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน” โดยคอนโดมีเนียมที่พร้อมโอนในปีนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี ยังเป็นเป้าหมายที่แสนสิริยึดมั่น โดยมีกลยุทธ์ใหม่ในการสร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเตรียมเปิดตัว Signature Function ในแบรนด์บ้านเดี่ยว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดีไซน์ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาจาก Customer Centric เช่น การเปิดสราญสิริ ศรีวารี ที่นับว่าเป็นครั้งแรกบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาทที่มี Double Volume Living Space และนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น New Concept เน้นการพัฒนาและสร้างมูลค่าให้กับ Affordable brand ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง โดยเตรียมเปิดตัวแนวคิดใหม่ในการอยู่อาศัยที่สะท้อนการออกแบบที่ครอบคลุมไปทั้งโครงการตั้งแต่ตัวบ้าน พื้นที่ส่วนกลาง ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน ไปจนถึงการสร้างชุมชนที่มีแนวคิดร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ โดยเตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ในแบรนด์ ‘อณาสิริ’ มิกซ์โปรดักส์ ที่รวมสังคมดีๆ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมเอาไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ในโครงการเดียวกันเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังรุกในด้าน WELL-BEING ผ่านดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ อาทิ Healthy Home นวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา และใช้พัฒนาในหลายโครงการ นอกจากนี้ ยังวางแผนมองหา Innovation ที่ยกระดับขึ้นอีกเพื่อต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ “อากาศสะอาด” รวมถึง Elderly Care Solution ตอบรับ Aging Society ผ่านฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยพัฒนาแปลนบ้านที่มีห้องนอนล่าง หรือ ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างในทุกแบบบ้าน พร้อม Universal Design ในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ โดยมีแผนในนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วย “Prevent & Alert” เป็นตัวช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย “Smart & Convenient Home” ต่อยอดความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นจาก Home Automation ด้วยการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ภายใต้คอนเซปต์ “Convenience at One Click” พร้อมใส่ Solution ที่จำเป็น
ในการอยู่อาศัย เช่น Master switch ที่ควบคุมไฟทั้งบ้านได้ในสวิตช์เดียว เป็นต้น

นายอุทัย กล่าวอีกว่า แสนสิริยังได้มุ่งมั่นรักษาการเป็น The Most Powerful Real Estate Brand ที่ได้รับรางวัล 2 ปีซ้อน ผ่านการสร้างความแตกต่างและยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยไปสู่อีกขั้น อาทิ การขยายระบบรักษาความปลอดภัย LIV-24 ที่ดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมงสู่ทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ  และพัฒนาต่อยอด “Educational Playground” สนามเด็กเล่นเพื่อการเรียนรู้ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ด้วยการดึง PlanToys (แปลนทอยส์) ผู้นำด้านของเล่นที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มาพัฒนาสนามเด็กเล่นรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับเด็กและสิ่งแวดล้อมร่วมกับแสนสิริ และโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัว
ครั้งแรกในปลายปีนี้ นอกจากนี้ ยังให้บริการหลังการขายหรือ Sansiri Service ที่ทำให้บ้านได้มากกว่าบ้านยังเป็น
สิ่งที่องค์กรมุ่งเน้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านในปัจจุบัน”

บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ด้วย “แหล่งรายได้ใหม่” ได้แก่ แผนการนำ LIV-24 ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ ขยายการให้บริการสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแผนต่อยอด และขยายขอบเขตการบริการของ Home Service Application หลังประสบความสำเร็จจากประสบการณ์ให้บริการในลูกบ้านแสนสิริกว่า 40,000 ราย ใน 300 โครงการสู่โครงการอื่นๆ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศโดยวางแผนเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจระดับโลกก็ประสบความสำเร็จและมีมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ The Standard โรงแรมจากสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนธุรกิจโรงแรมทั่วโลกที่แสนสิริเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลังจากประกาศแผนเปิดโรงแรมแห่งใหม่ 25 แห่งทั่วโลกภายใน 5 ปี และเปิดตัว The Standard London และ The Standard Maldives เมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง JustCo Co-Working Space ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปี และปัจจุบันมี 42 สาขา ใน 8 เมืองใหญ่ทั่วโลก

นายอุทัย กล่าวต่อว่า “แสนสิริมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสต์ (Precast) เพื่อรองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานที่ 1 และ 2 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 700,000 ตารางเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร เมื่อเต็มกำลังการผลิต รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ได้ในอนาคต”

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คือ “คน” โดยการวางกลยุทธ์ “People Strategy” ต่อยอดวิธีคิดแบบ Agile เพื่อยกระดับความสุขของพนักงานเป็น Made for Us ขับเคลื่อนด้วย 2 แนวคิด คือ New way of Work เน้นการดีไซน์พื้นที่เพื่อตอบโจทย์การทำงานของพนักงานมากขึ้น ทำให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และได้คุณภาพงานที่ดีที่สุด และอีกส่วนคือ New way of Life สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงาน ในการทำงานร่วมกันที่ สิริ แคมปัส และเน้นประสบการณ์การทำงาน ผ่านเรื่องราวของสุขโภชนาการ การออกแบบพื้นที่สีเขียวภายในสำนักงาน เพิ่มพื้นที่สันทนาการ หรือพื้นที่ทำงานแบบ Creativity Workplace เป็นต้น

“แสนสิริยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยมีแผนยกระดับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก Sansiri Green สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน Sansiri Sustainability Mission ในปีนี้ เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนสู่สังคมและประเทศไทยในด้าน Waste Management และ Green Space อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” นายอุทัย กล่าวสรุป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook