ปรางค์ อภินรา ศรีกาญจนา เซเลบเนื้อหอม

ปรางค์ อภินรา ศรีกาญจนา เซเลบเนื้อหอม

ปรางค์ อภินรา ศรีกาญจนา เซเลบเนื้อหอม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ Hello เซเลบ

อภินรา ศรีกาญจนา สาวขายประกัน โลกสวย

เป็นเซเลบริตี้รุ่นใหม่ที่กำลัง "เนื้อหอม" เพราะไม่ว่าจะเปิดหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารมักจะมีชื่อ อภินรา ศรีกาญจนา ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จะด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสวย อ่อนหวาน หรือเพราะนามสกุลดัง เนื่องจากเธอเป็นลูกสาวคนโตในบรรดาพี่น้องสามใบเถาว์ของ จุลพยัพ ศรีกาญจนา เจ้าของ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และ นราวดี ศรีกาญจนา ผู้บริหารใหญ่บริษัทแพนดูลัม จึงทำให้เธอเนื้อหอมเช่นนี้ หรือไม่นั้น?

แต่สำหรับเรา กลับรู้สึกว่า อัธยาศัยที่นุ่มนวล อ่อนโยน วิธีคิด วิธีการมองโลกของเธอต่างหาก ที่เป็นเสน่ห์ชวนให้จับใจ

ใครจะไปคิดว่า สาวคนนี้จะสลัดความเป็น "คุณหนู" แล้วออกเผชิญโลกกว้างเพียงลำพังที่ประเทศญี่ปุ่นในการไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ด้านรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่อายุ 18 ปี แม้จะพูดญี่ปุ่นไม่ได้ อ่านญี่ปุ่นไม่ออก แต่เธอก็ลุยผ่านมาแล้ว ก่อนบินลัดฟ้าข้ามทวีปไปศึกษาต่อในระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัย LONDON SCHOOL of ECONOMIC & POLITICAL SCIENCE ด้านวัฒนธรรมและสังคม

การออกจากบ้านไปศึกษาต่อในต่างแดน นับเป็นประสบการณ์ที่ "ล้ำค่า" เพราะนอกจากใบปริญญาแล้ว เธอยังหอบ "บทเรียนชีวิต" กลับมามากมาย

พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว

"ชีวิตที่ญี่ปุ่นไม่ง่ายเลย ปรางค์ทานข้าวอยู่ในร้านสะดวกซื้ออยู่ 2 เดือน เพราะอ่านเมนูไม่ได้ ห้องพักก็เล็กมาก ห้องน้ำแคบยิ่งกว่าห้องน้ำบนเครื่องบิน ทุกเช้านั่งรถไฟไปเรียนก็ถูกอัดเป็นปลากระป๋อง ใส่กระโปรงก็ต้องคอยดึงเพราะกลัวการโดนแอบถ่าย มันหนักมากจริงๆ" เสียงใสๆ ของสาววัย 24 ปีเล่า

ทั้งที่ยอมรับว่าหนักมาก แต่เธอก็ยัง "แอบ" คุณพ่อไปทำงาน Part-time

"ปรางค์มีคุณแม่เป็นไอดอล ตอนเรียนที่อังกฤษท่านเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสก็อยากทำบ้าง และพอสบโอกาสก็ทำทันที แม้คุณพ่อจะไม่อยากให้ทำ เพราะเป็นห่วงลูก แต่คุณแม่สนับสนุนเต็มที่"

งานแรก คือ สอนภาษาอังกฤษคนญี่ปุ่น โดยสอนตามเส้นทางรถไฟฟ้าในร้านสตาร์บัคส์ สอน 2 ชั่วโมง ได้ 1,500-2,500 เยน หรือประมาณ 585-975 บาท

"ถึงเงินจะน้อยแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความอดทน"

เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทย ใส่ชุดไทยเสิร์ฟอาหาร

"ปรางค์เสิร์ฟอาหารตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เก็บกวาดทุกอย่างแม้แต่ไม้จิ้มฟันที่ใช้แล้ว หน้าหนาวอากาศติดลบเดินกลับห้องท่ามกลางหิมะตก บางวันเจอลูกค้าดื่มหนักๆ พูดจาล่วงเกินท่าทางไม่ค่อยน่ารัก เราก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยการแกล้งทำเป็นพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ รับมืออย่างสุภาพ เพราะไม่อยากออกจากงาน"

"แต่ที่จำได้ดีที่สุด มีอยู่วันหนึ่ง พี่คนล้างชามไม่มา เราก็ต้องไปล้างแทน ล้างจนมือเปื่อย เล็บนิ่มจนเล็บฉีก"

แทนที่จะท้อ หากเธอ "รู้สึกดี"

"รู้เลยว่า นี่แหละชีวิตจริง เงินมันมีคุณค่า ไม่ได้มาง่ายๆ ปรางค์ภูมิใจมาก รสชาติของชีวิตต้องอย่างนี้ ที่ผ่านมาสบายเกินไป นี่แหละชีวิตที่ถ้าเรียนอยู่เมืองไทย จะเป็นชีวิตที่เราไม่มีวันได้ทำ"

เมื่อกลับมาเมืองไทย เธอก็ลงมือหางานทำทันที

"ตอนแรกยังไม่คิดมาทำธุรกิจกับคุณพ่อคุณแม่ เพราะท่านจะพูดเสมอว่าไม่อยากให้อยู่ใต้เงาของท่าน หากมาทำงานในองค์กรที่เป็นกงสีเลย เราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ทุกคนตั้งใจจะดีต่อเรา เมื่อเขาเลื่อมใสและเคารพคุณพ่อคุณแม่เราอยู่แล้ว ความรักความเมตตาเหล่านี้ก็จะแผ่มาถึงเราด้วย มันเป็นความโชคดีเกินไปเหมือนชีวิตอยู่บนเมฆลอยๆ ง่ายๆ"

"ซึ่งต่างกับที่ญี่ปุ่น เขาไม่รู้ว่าปรางค์เป็นใคร สิ่งที่เจอ สิ่งที่โดนเอาเปรียบ เป็นอะไรที่ทำให้ปรางค์รู้ว่าโลกของความจริงมันเป็นอย่างนี้ โลกก็มีแง่ที่ไม่สวยบ้าง"

งานแรกของเธอจึงเริ่มต้นที่ บ.ชิเซโด้ โปรเฟสชั่นแนล ด้วยตำแหน่งเลขานุการรองประธานบริษัท หลังจากทำงานได้หนึ่งปี เธอก็ตัดสินใจมาช่วยงานธุรกิจประกันภัยของคุณพ่อ

"ธุรกิจประกันภัยไม่ได้เรียนง่ายๆ ตอนแรกคิดว่าไม่ถนัด เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเป็นผู้ชายมาก แต่ถ้าไม่เรียนรู้ตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้เริ่มเรียนรู้ และเมื่อได้มาทำ ก็รู้ว่างานไม่ได้อยู่ที่อายุ แต่อยู่ที่ทัศนคติ และมุมมอง เป็นธุรกิจที่ท้าทาย เพราะไม่ใช่ธุรกิจ consumption goods/ลักษณะบริโภค ที่คนจำเป็นต้องทานทุกวันเหมือนพิซซ่า แต่เป็นเหมือนธุรกิจขายกระดาษที่เราจะขายกระดาษอย่างไรให้น่าเชื่อถือ ให้มีความต้องการ"

5 เดือน ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารองค์กร สาวคนนี้ตั้งอกตั้งใจทำงานในส่วนการสร้างภาพลักษณ์องค์กร สร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างเต็มที่

เธอว่า "เคพีไอ" (เครื่องมือที่ใช้วัดผลการดำเนินงานหรือประเมินผลการดำเนินงานในด้านต่างๆ ขององค์กร) ของเธอ "วัดที่รอยยิ้มพนักงาน"

"มันอาจไม่เห็นผลเป็นตัวเลข แต่วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข"

มีความรับผิดชอบสูงทั้งที่อายุยังน้อย หลายคนอาจกดดัน แต่สำหรับอภินรา กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

"คนเราต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องมีความสำรวม เป็นผู้ฟัง ไม่เข้าใจอะไรควรถามเพราะเรายังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้ค่ะ และปรางค์ว่าการมีผู้บริหารหญิงในองค์กรนั้น ช่วยทำให้ทุกอย่างดูซอฟต์ลง มีความนิ่มนวล ความอบอุ่นมากขึ้นด้วยนะคะ"

การมีทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิตเช่นนี้ เธอบอกว่า มาจากครอบครัวที่มีคุณพ่อสอนเรื่องของจิตใจธรรมาภิบาลให้ลูกเป็นคนดีและคนเก่ง ส่วนคุณแม่สอนการดำเนินชีวิตให้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ยืนอยู่ด้วยตนเองได้

"เพื่อนชอบบอกว่าปรางค์โลกสวยมาก ปรางค์ก็ยอมรับนะคะ เคยถูกถามว่าเหนื่อยไหม ปรางค์ก็ไม่เหนื่อย" ว่าพลางก็หัวเราะใสออกมา

"แต่โลกสวยของปรางค์คือมองทุกอย่างในแง่ดีไว้ก่อน แต่อะไรที่ไม่ดี ถ้าต้องยอมรับก็ยอมรับ แต่ไม่ไปทุกข์กับมัน ปรางค์คิดเสมอว่าทุกอย่างมีทางแก้ไข ถ้าหากจะต้องมีอะไรที่จะต้องเข้ามาในชีวิตเราไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ แล้วนั้นไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่จะหยุดมันได้ แต่ขอแค่ให้เรามีสติ ตั้งหลักให้ดี เราก็จะสามารถเป็นคนกำหนดทุกอย่างได้ เพราะทุกคนมีทางเลือก เวลาอะไรเกิดขึ้น ปรางค์จะไม่โทษคนอื่น แต่คิดว่ามันคงผิดที่การตัดสินใจของเราเอง แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็แก้ได้"

"แต่ก็ไม่ใช่โลกสวยคิดบวกแล้วเป็นนางฟ้านะคะ เรื่องเครียดก็มี แต่มีสติพอแตะได้ ความเครียดจะอยู่กับปรางค์ไม่นาน พอรู้ปั๊บว่าเครียด ก็จะใช้สติแตะให้มั่นๆ แล้วถามตัวเองว่าเครียดเรื่องอะไร แล้วทำยังไงถึงไม่เครียด ถ้าแก้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ 15 นาทีได้ ก็จบ แล้วก็ให้อภัยคนเยอะๆ ทีนี้หายเครียดเลย"

นับจากนี้ เธอจะทำงานในธุรกิจประกันภัยให้ดีที่สุด ด้วยความตั้งใจที่อยากจะเป็นผู้หญิงเก่งที่แข็งแกร่งแต่คงไว้ด้วยความอ่อนโยน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook